วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระแก้วมรกต และ พระบรมสารีริกธาตุที่สถิตอยู่ภายในองค์พระ



หลวงปู่สิมเล่าเรื่อง ประวัติพระแก้วมรกต
แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราก็จะเห็นแต่พระพุทธรูป หรือรูปวาดเขียนต่างๆ ที่คนเราเขียนไว้หล่อไว้ ที่สำคัญเมืองไทยเราก็เรียกว่า “พระแก้วมรกต” อยู่ที่พระราชวังหลวงโน่น พวกที่เคยมาที่นี่อาจเคยไปไหว้ไปกราบแต่ว่าที่ท่านจัดไว้นั้นก็สูงไปหน่อย เวลาตาคนเรามองไปถึงพระแก้วนั้นมันเห็นน้อยไปนิดเดียว แต่ไม่ใช่แก้วเขียวเหมือนเมืองไทย เป็นแก้วมรกต แก้วมรกตก็คือว่าในประเทศอินเดียในภูเขาหิมาลัยลูกใดลูกหนึ่งนั้นแหละ เขาลูกนั้นเป็นหิน เป็นหินแก้วมรกต เมื่อเป็นหินแก้วมรกต เวลาหินในเขาลูกนั้นกลั่นมาเป็นน้ำแก้ว ก็เป็นแก้วมรกต สีเขียว มีฤทธิ์มีอำนาจ พระเจ้าแผ่นดินหลายชั่วพระเจ้าแผ่นดินในอินเดียนั้นก็ไปได้ลูกแก้วลูกนี้มา แต่ยังไม่ได้แกะสลักเป็นพระพุทธรูปเหมือนเราเห็นทุกวันนี้ เป็นแก้วหรือที่ประเทศไทย เราเห็นโป่งข่ามนั้น มันเป็นหกเหลี่ยมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง แหลมปลายเสีย มันหยดออกมาจากภูเขา
เมื่อเป็นสมบัติพระเจ้าแผ่นดินในอินเดียมานานจนนับประมาณไม่ได้ พอดีมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งอุบัติบังเกิดขึ้น แล้วก็มาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นใหญ่ในแผ่นดินอินเดีย ให้ชื่อว่าเป็น พระยามิลินท์เป็นคนปฏิภาณโวหารดี สมัยนั้นยังพระอรหันต์เยอะแยะ แต่ว่าท่านพระอรหันต์เหล่านั้นก็ไม่กล้าทัดทานวาทะของพระยามิลินท์ พระยามิลินท์เวลานั้นยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไปไหนมาไหนแกก็ปฏิภาณครอบโลกไปอย่างนั้นแหละ ใครกลัวเพราะคนมีอำนาจ พระอรหันต์เถระสมัยนั้น จึงมาจินตนาการว่า จะทำอย่างไรกับพระยามิลินท์นี้ให้เลื่อมใสในพุทธศาสนา แต่ว่าพวกเราที่เกิดปฏิบัติอยู่นี้ไม่มีใครทัดทานแกได้ คนแบบนี้คงมีอาจารย์ของแกว่าอย่างนั้น ข้อสันนิษฐานของพระเถระในเวลานั้น เมื่อลงสันนิษฐานของพระเถระในเวลานั้น เมื่อลงสันนิษฐานอย่างนั้นแล้วก็ ถ้ามีอาจารย์ของท่านพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ก็มาสอน ที่เคยเป็นอาจารย์จึงจะฟังว่าอย่างนั้น พวกเราสมัยนี้สอนมันไม่ฟัง
พระเถระก็เข้าฌานดูว่าเทวดา หรือมนุษย์คนไหน ที่เคยเป็นครูอาจารย์ของพระยามิลินท์นี้ เมื่อพระเถระท่านให้พระที่มีฌานเหาะเหินเดินอากาศไปทั่วมนุสสโลก เทวโลก พรหมโลก ก็ไปเห็นอยู่ในเทวโลก เมื่อสอบถามดูก็เคยเป็นอาจารย์เป็นครูสอนของแกว่าอย่างนั้น “เออ ! อย่างนั้น มันก็ขอ (นิ) มนต์ ขอเชิญเทวดาเจ้าจุติไปเกิดในโลกมนุษย์แล้ว จะได้ช่วยกิจการพระศาสนา” ว่าอย่างนั้น พระอาจารย์ของพระยามิลินท์ที่เป็นเทวดาอยู่ท่านก็รู้ รับรองว่าจะลงมาจุติปฏิสนธิในโลกมนุษย์นี้ให้ตามต้องการของพระอรหันตขีณาสพ จะได้ช่วยกิจการพระศาสนา ว่าอย่างนั้น ก็เลยแนะนำว่า “ถ้าไปเกิดก็ให้ไปเกิดในตระกูลนั้นตระกูลที่ได้รับจะได้รับรอง พระสงฆ์ก็จะได้เตรียมการรับรองมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย” ว่าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่าตกลงกันดีแล้ว ก็ลงมา
วันนั้น เทวดาตนนั้นก็ลงมาเกิดที่ว่านั้นแหละ เกิดแล้วก็พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไปบิณฑบาตบ้านญาติโยมไว้ให้มันพร้อมมูลทุกอย่าง เตรียมการต้อนรับไว้จนกระทั่งเด็กทารกนั้น เจริญวัยใหญ่โตขึ้นมา พอจะบวชเป็นสามเณรได้ ก็ขอจากญาติโยมมาบวชเป็นสามเณรเรียนธรรมะคำสอน ประพฤติปฏิบัติ ก็เป็นอันว่าตกลงทั้งญาติโยมพ่อแม่ของ “พระนาคเสน” ชื่อ “นาคเสน” ว่าอย่างนั้นพอใหญ่ขึ้นมาอายุครบ 20 อุปสมบทให้เป็นพระ ส่วนการภาวนาก็เรียกว่าได้สำเร็จเป็นขั้นๆ มาจนถึงเป็นพระอรหันตขีณาสพจบพรหมจรรย์ เรียนพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จบเรียบร้อย พร้อมด้วยการละกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดสิ้นไป แล้วจึงได้ไปโต้วาทีกับพระยามิลินท์เพราะเป็นอาจารย์เก่า
ตามข่าวคราวว่าโต้เถียงกันมาตลอด พระนาคเสนก็มีหน้าที่แสดงธรรม พระยามิลินท์ก็โต้ไป ไม่ยอม พอหนักเข้าๆ ก็มาถึงปัญหาข้อหนึ่ง พระนาคเสนท่านก็ตอบแบบเล่นๆ ล่ะ บอกว่า “โยม มหาบพิตร มีน้ำก็มีปลา มีนาก็มีข้าว” ว่าอย่างนั้น “มีอย่างหนึ่งก็ต้องมีอย่างหนึ่ง” ทีนี้พอว่าถึง มีน้ำปลา มีนามีข้าว ก็จับจุดเอาตรงที่ว่ามีน้ำมีปลา ก็เรียกลูกน้องมา พระเจ้าแผ่นดินสั่งลูกน้องว่า “ให้ไปขึ้นมะพร้าวมา มาผ่าดู ว่ามีปลาจริงไหม” นั่นสู้กันด้วยเรื่องเล็กน้อย แขกอินเดียมันมีปัญญาสมัยนั้น ทีนี้ด้วยพระวาจาของพระอรหันต์มันเกิดมีปลาขึ้นมาบัดนี้ มะพร้าวลูกโตๆ มาผ่า มีปลาอยู่ในนั้น จึงยอม ยอมนับถือ จึงยอมนับถือศาสนาพุทธ ยอมเป็นลูกของพระนาคเสน
เมื่อนับถือศาสนาพุทธ ยอมเป็นลูกศิษย์พระนาคเสนแล้ว พระนาคเสนหรือพระอรหันต์ในสมัยนั้น ท่านก็รู้ว่ามีแก้วมรกตลูกหนึ่ง ที่พระแก้วมรกตเมืองไทยเรานี่แหละ “ว่าขอบิณฑบาตแก้วมรกตที่เป็นมูลสังฆญาตินั้น จะได้ไหมมหาบพิตร” ก็ถามไป ท่านก็คงตอบว่า พระเจ้าแผ่นดินน่ะ คงจะถามว่า “จะเอาไปทำไม” ถ้าภาษาไทยเราก็เรียกว่า เอาไปทำไม พระนาคเสนก็ตอบว่า “คือแก้วนี้เป็นแก้วมีฤทธิ์มีอำนาจ จะนำแก้วไปแกะสลักเป็นพระพุทธรูป พระศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองต่อไป” ว่าอย่างนั้น “เอาถ้าอย่างนั้นก็จะเอามาถวาย” เมื่อได้ฤกษ์ งามยามดีก็เอามาถวายพระนาคเสน พระนาคเสนก็รับเอาแก้วลูกนี้ พอข่าวคราวว่า พระยามิลินท์ศาสดาหัวแหลม สู้พระนาคเสนไม่ได้ จึงยอมถวายลูกแก้วมรกตว่าอย่างนั้น
ทีนี้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนักแกะอยู่ ตาวติงสาท่านมีนักแกะที่ดีลงมาขอจากพระนาคเสนรับเอาไปแกะจะแกะเป็นอย่างดีจะไม่ให้แตกไม่ให้ทำลาย พระนาคเสนก็มอบให้ แกะเสร็จเรียบร้อยก็เอามาถวายพระนาคเสน พระนาคเสนก็ฉลองสมโภช ทุกสิ่งทุกอย่างตามธรรมเนียมแขกอินเดียในสมัยนั้น ในพระแก้วมรกตมีอำนาจคือว่าแก้วนั้นก็มีอำนาจ แล้วก็แกะเป็นพระพุทธรูปก็เพิ่มขึ้นไปอีก ทีนี้พระนาคเสนก็อธิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเข้าไว้ในองค์พระแก้วนั้น ก็เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมากมาย
เมื่อล่วงเลยจากนั้นแล้ว ก่อนที่พระแก้วมรกตจะได้เสด็จมาประเทศไทยเราน่ะ มีแขก แขกทางทะเลทรายโน่น เป็นศาสนาอิสลามยกกองทัพมารบอินเดีย ให้เข้าศาสนาอิสลาม แต่ว่าคนแขกสมัยนั้นใจไม่ค่อยสู้เลยยอมให้อิสลามนั้นทำลายสถานที่ จนกระทั่งเผาวัดเผาวา ฆ่าใครไม่นับถือ คือศาสนาอิสลามนี้ สมัยนั้นไม่เลื่อมใสศาสนาพุทธ ค้านทุกอย่าง แล้วยังไม่พอ ถ้ามีพระวัดมีวาที่ไหน ก็ทุบต่อยตี หลวงปู่ได้ไปตั้ง ๒ ครั้งแล้ว พระพุทธรูปต่างๆ นั้นเขาทุบหมด ที่ไหนไปแกะสลักไว้ในภูเขา ในถ้ำ มันก็เอาค้อนเหล็กไปตีจนหน้าตาเสีย ไปตรงไหนที่มันบางๆ อย่างว่าพระกรรณหูนี้ ก็ไม่เหลือล่ะทุบเอาทั้งนั้นล่ะ
พระยามิลินท์มาแล้ว ก็ไม่มีใครต่อสู้ ญาติโยมที่เหลืออยู่ พระสงฆ์สามเณรก็ตกลงมติว่า ท่านคงเข้าฌานดูว่า “ในโลกเราต่อไป ประเทศไหนคนพวกใดจะรักษาพระพุทธศาสนา ท่านก็รู้ทีเดียวว่าเมืองไทย ไม่ใช่เป็นเมืองไทยละ (สมัยนั้น) เขาเรียกว่า “ปัจจันตประเทศ” เป็นประเทศที่เรียกว่ายังไม่เจริญ ไม่เหมือนอินเดียว่าอย่างนั้น เมื่อรู้อย่างนั้นก็เลยเอาลงเรือแบบเรือใบน่ะ จากอินเดีย เกาะลังกานั้นแหละวนรอบมาขึ้นเขมรแล้วก็ขึ้นมาเมืองไทย จนไปหลายที่ เชียงแสน เชียงราย เชียงใหม่ก็มาอยู่หลังจากนั้นก็เวียงจันทน์ พระแก้วมรกตก็ไปเวียงจันทน์กับพระบาง พระทองคำที่อยู่หลวงพระบาง
รัชกาลที่ ๑ กรุงเทพมหานครเรานี่แหละ สมัยนั้นยังเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ไปรบทางภาคเหนือทางเวียงจันทน์ ได้ชัยชนะก็เอาพระแก้วมรกตมาไว้ที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่ที่วัดพระแก้วนี้ ดังนั้น แก้วดวงนี้แก้วองค์นี้จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์ผู้ใดเกิดใหม่ใหญ่ทีหลังยังไม่ได้ไปกราบ ไปไหว้ ก็ให้ไปไหว้ มันเป็นพระพุทธรูป ไปไหว้เมื่อใดวันใดก็ได้ ตามข่าวว่าวันพระท่านก็เปิด ให้ไหว้ได้วันเสาร์ วันอาทิตย์หรือวันใดก็ไหว้ได้ เป็นพระแก้วมรกตโบร่ำโบราณ
ส่วนว่าพระยามิลินท์ และพระนาคเสนก็สู้ความแก่ชราไม่ได้ แก่เฒ่ามาก็ฟันหลุด ผมหงอก พระนาคเสนก็ดับขันธ์เข้าสู่นฤพานไป แต่ตามตำนานของหลวงปู่มั่น ที่รูปของท่านอยู่ข้างหลังหลวงปู่นี้ หลวงปู่มั่นนี้ท่านก็มีความรู้พิเศษทางนี้แหละ ว่าพระนาคเสนท่านก็อยู่โน้นแหละ อินเดีย แต่ว่าตอนแก่ชรามาเห็นว่าไปไม่รอดแล้ว ท่านก็เสด็จมาไว้สรีระปัจจันตประเทศ ประเทศไทยเรานี่แหละ ที่สมัยนั้นเขาเรียกว่า แต่ก่อน ดงพญาไฟ หรือเขาใหญ่ เดี๋ยวนี้เขาใหญ่ก็สงวนไว้ ป่ายังใหญ่อยู่ มีช้าง มีวัว กระทิง มีพันธุ์สัตว์ต่างๆ ยังเยอะ ช้างก็ยังเยอะอยู่ มานิพพานที่เขาใหญ่ แต่ถ้ำใดก็จำไม่ได้ แต่หลวงปู่มั่นท่านรู้ท่านเล่าให้ฟัง
ส่วนพระยามิลินท์ นักโต้วาที เมื่อแก่ชรามาก็โต้แก่ชราก็ไม่ได้ อวดดีกับพญามัจจุราชไม่ไหว พอเห็นท่าว่าไม่ไหวก็เลยลาราชการมาบวช พระยามิลินท์ปฏิภาณดีก็บวช บวชแล้วก็ภาวนาได้สำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพแก่เฒ่าชรากาลเสด็จมานิพพานที่เมืองไทย ประเทศไทยเราที่ (วัด) ลำปางหลวง นครลำปาง เดี๋ยวนี้อยู่ในเขตอำเภอเกาะคา ผู้ใดไปแล้วก็ไปไหว้ได้ เป็นที่พระยามิลินท์มานิพพานที่นั้น แล้ววัดลำปางหลวงนั้นเวลานี้ก็มีพระแก้วเหมือนกันแต่เป็นแก้วเปรียวไม้ไผ่ ไม่ถึงกับเป็นแก้วมรกตเหมือนอยู่ที่พระราชวังเมืองไทยเรานี้ นั่นแหละ พระพุทธรูปท่านก็ดี ท่านไม่โกรธให้ใคร ท่านไม่โลภอยากได้ของใคร แม้จะเป็นพระแก้วมรกตท่านก็ไม่ดุดันเหมือนคนเรา ท่านก็นั่งภาวนาของท่าน ท่านไม่มีไปซื้อหวยล๊อตเตอรี่เพื่อให้ร่ำให้รวยเหมือนคนเราหรอก นั่งภาวนาลูกเดียว
“พุทโธ-พุทโธ” ฉะนั้น ผู้ใดได้ไปเห็นก็ให้พากันไหว้ท่านพระแก้วมรกตน่ะ ก็ทำใจของเราทุกคนให้ใสเป็นแก้วมรกต
หมายเหตุ, "พุทธวงศ์"เคยตามหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรไปในการพระราชพิธีพุทธาภิเษก พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติทีฆายุมงคล  60 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อปีพ.ศ. 2534 โดยหลวงปู่สิมได้รับอาราธนานิมนต์นั่งเป็นประธานปรก(หน้าตู้เทียนชัยหันเข้าหาองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร)เป็นองค์ที่ 2 ต่อจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร  อันเป็นเกียรติยศอันใหญ่ยิ่ง
ในครั้งนั้น "พุทธวงศ์"ได้ตามไปนั่งประกบอุปัฏฐากหลวงปู่สิมตามที่ผู้ใหญ่ได้มอบหมายมาโดยตลอดแม้ขณะนั่งประธานปรกต่อหน้าองค์พระแก้วมรกตที่หลวงปู่สิมเคยบอกกับ"พุทธวงศ์"เอาไว้ว่า"ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด"และ"เทวดาที่วัดพระแก้วมีเป็นหมื่น" จึงมีโอกาสได้พบได้เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์องค์สำคัญและสิ่งต่างๆที่น่าประทับใจมากมาย ซึ่งหามีโอกาสอันเหมาะสม จะได้นำมาเล่าสู่กันฟังสืบต่อไปทีเดียว...



ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ http://www.gmwebsite.com/webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-101112082953904&PageNo=2&Other=#LoopStart
และ http://board.palungjit.com/archive/t-111570.html และเจ้าของภาพครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น