วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ


*หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ*




*****   ภัยธรรมชาติ   *****



.....................คำปรารภ................

.........หนังสือเรื่อง "พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ" เล่มนี้
ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่
กำลังเกิดขึ้น ตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ภัยธรรมชาติประเภทต่างๆที่กำลังเกิดขึ้น จะมีความรุนแรงมากขึ้น
ที่ยัง ไม่ทันเกิดก็จะเกิดในไม่ช้านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามธรรมชาติในตัว ของมันเอง
ไม่มีใครมีอำนาจควบคุมหรือบังคับสั่งการอะไรได้

.........หากท่านผู้อ่านได้รับทราบเรื่องราวที่มีในหนังสือเล่มนี้ ถ้ามีข้อสงสัยประการใด สามารถ ติดต่อสอบถาม
กับข้าพเจ้าได้โดยตรง ข้าพเจ้ายินดีที่จะให้ความกระจ่างในทุกเรื่องที่ได้เรียบเรียง ลงในหนังสือเล่มนี้

.........ผู้มีปัญญาย่อมไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท สิ่งที่ผ่านมาก็ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไข อะไรได้
ขอให้ทุกท่านได้ใช้เวลาที่มีอยู่ สร้างบุญกุศลบารมีตัวเองเอาไว้ให้มาก พวกเรามีโอกาส ได้เกิดมา
ในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนายังคงความบริบูรณ์อยู่ จงพากันตั้งใจหมั่นสร้างเสริมบุญบารมี ทาน ศีล
 และภาวนา ให้ถึงพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำพาท่านทั้งหลายข้ามพ้นวัฏฏะ อันเต็ม
ไปด้วยความระทมทุกข์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพานดังที่ได้ปรารถนาไว้โดยเร็วพลันด้วยเทอญ


พระปัญญาพิศาลเถร
(พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ)


Rin:
พุทธวงศ์



.....ความเป็นอยู่ของโลก มีความเป็นมายาวนาน มนุษย์ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็มีความเป็นอยู่ที่ ยาวนานเช่นกัน โลกนี้เกิดขึ้นมาแต่เมื่อไรมนุษย์ก็มีอยู่ในโลกนี้มาแต่เมื่อนั้น มนุษย์สามัญชน ธรรมดาไม่มีใครรู้ได้ ผู้จะรู้ความเป็นอยู่ของโลกและหมู่มนุษย์ได้ มีเฉพาะพระพุทธเจ้าองค์เดียว เท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้ามีญาณหยั่งรู้ในเรื่องของโลกและมวลหมู่มนุษย์ได้อย่างแจ่ม แจ้งถูกต้อง ชัดเจน ...

หลายๆท่านได้ศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์มาอย่าง ไร ก็ได้คำนวณคาดการณ์ไปว่า โลกได้เกิด ขึ้นแต่เมื่อนั้น หมู่มนุษย์ได้เกิดขึ้นในยุคนั้นยุคนี้ไป มีหนังสือออกเผยแพร่ให้คนทั้งหลายได้รู้กัน ทั่วโลก และมีคนทั้งหลายให้ความเชื่อถือว่าเป็นจริงอย่างนี้และมีเหตุผลต่างๆเอามา เปรียบเทียบ เป็นข้อคิดให้เชื่อตาม จึงเชื่อกันไปตามพวกฝรั่งที่เขียนเอาไว้ และยังมีความเข้าใจว่าในจักรวาล อื่นหรือดาวต่างๆอาจจะมีสัตว์หรือมนุษย์ต่างดาวพอที่จะไปสัมผัสได้ จึงพากันเชื่อเครื่องมือทาง วิทยาศาสตร์อันทันสมัย เพื่อออกไปสำรวจดูตามความเข้าใจของตัวเอง นานหลายปีก็ไม่มีมนุษย์ ต่างดาวตามที่เข้าใจแต่อย่างใด ผู้ไม่มีเหตุผลเพื่อการศึกษา ก็มีความเชื่อตามๆกันไป เพราะเชื่อตามการวิจัยวิเคราะห์ของพวกฝรั่งที่ได้คำนวณเอาไว้ ในบางเรื่องพอเชื่อได้ ในบางเรื่องเชื่อไม่ได้ ...ถึงข้าพเจ้าจะยกบุคคลขึ้นมาเป็นองค์ประกอบที่ชอบด้วยเหตุผล หลายๆคนก็จะไม่เชื่อถืออยู่นั่น เอง และมีความสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรเพราะในยุคนี้มีน้อยคนที่จะรู้ประวัติของ พระพุทธเจ้าทั้ง หมดได้

ข้าพเจ้าเองก็ได้ศึกษาประวัติของพระ พุทธเจ้ามา ถึงจะไม่รู้ทั้งหมดในคำสอนของพระ พุทธเจ้า ก็พอจะนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายให้ท่านรู้อยู่บ้าง ขอให้ท่านได้รับรู้กันด้วย เหตุและผล เรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมาอธิบายให้ท่านรู้ในขณะนี้มีเหตุผลเชื่อถือได้เพียง ใด ให้เราทั้ง หลายใช้ปัญญาพิจารณาตรึกตรองดู ก็จะรู้ด้วยเหตุผลว่าโลกและมนุษย์มีความเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน มีความยาวนานเท่าไร ให้จินตนาการดูก็จะรู้และมีความเข้าใจในโลกมนุษย์นี้เป็นอย่างดี มิใช่ว่าจะ เชื่อตามคนอื่นไปเสียทั้งหมด สิ่งใดควรเชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้ ต้องใช้เหตุผลของตัวเอง เป็นหลักสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะเป็นนิสัยเชื่ออะไรที่งมงายไร้เหตุผลตลอดไป ...ในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่มีญาณวิเศษรู้เห็น ว่าโลกทั้งสามนี้เกิดขึ้นแต่เมื่อไร พระสาวกทั้งหลายไม่มีญาณหยั่งรู้เหมือนพระพุทธเจ้าได้ ที่เรียกว่าโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลกทั้งหมด รู้ความเป็นมาของโลกในอดีตถึงปัจจุบัน และรู้ความเป็นไปในเรื่องอนาคตของโลกนี้อย่างทั่วถึง ความรู้แจ้งโลกนี้ จะมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น บรรดาพระอริยสาวกทั้งหลายมี ปัญญาญาณในการละกิเลสเท่านั้นพระพุทธองค์จึงเป็นครูสอนเทวดา มาร พรหม และมนุษย์ทั้งหลาย ....

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ในโลกนี้มีอยู่แสนโกฏิจักรวาล โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในขณะนี้ เป็น จักรวาลหนึ่งที่ตั้งอยู่ในท่ามกลางของแสนโกฏิจักรวาล และมีจักรวาลเดียวเท่านั้นที่มีสัตว์ประกอบ ด้วยธาตุสี่อาศัยอยู่ได้ มีการสืบพันธุ์ต่อกันได้ มีอาหารการกินที่สมบูรณ์ จะมีเฉพาะโลกมนุษย์ที่ อาศัยอยู่แห่งเดียวเท่านั้น ในจักรวาลอื่นไม่มีสัตว์ที่มีธาตุสี่อาศัยอยู่ได้เลย เพราะจักรวาลอื่นไม่มี พืชพันธุ์ธัญญาหารให้สัตว์โลกที่มีธาตุสี่อยู่กินและสืบพันธุ์ต่อกันเหมือน โลกมนุษย์แต่อย่างใด ใน จักรวาลอื่นเป็นเพียงจิตวิญญาณที่มีกรรมดีกรรมชั่วไปอาศัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เท่านั้น เมื่อถึงกาล เวลากรรมที่ทำไว้หมดไป ก็จะได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์นี้อีก จึงเป็นวัฏจักรหมุนเวียนเกิด ตายในโลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ ....เรื่องของกรรมในศาสนาพุทธไม่เหมือนศาสนาอื่น ที่ทำกรรมชั่วเอาไว้แล้วทำพิธีล้างบาป ตาย แล้วได้ไปอยู่กับพระเจ้าตราบชั่วนิรันดร์ หลักของศาสนาพุทธไม่มีการล้างบาป ผู้ทำบาปต้องได้ รับผลของบาป กรรมดีกรรมชั่วเป็นตัวกำหนดให้เป็นไป เว้นเฉพาะผู้ที่สิ้นอาสวะกิเลสเท่านั้นที่ไม่ ได้มาเกิดในภพทั้งสามนี้อีกต่อไป ....

พระพุทธเจ้าที่อุบัติเกิดขึ้น บนโลกนี้ในอดีตที่ผ่านมามีเป็นจำนวนมาก ทุกพระองค์ล้วนแล้วได้ มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ทั้งนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป มีจำนวนมาก ทุกๆพระองค์ก็จะมาบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์นี้ด้วยกัน เป็น ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ให้สมบูรณ์ในโลกมนุษย์นี้ และได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน โลกนี้เช่นกัน ....ฉะนั้นจักรวาลที่โลกมนุษย์อาศัยอยู่ จึงเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหลาย ผู้จะทำกรรมดี กรรมชั่ว ก็ต้องทำในจักรวาลนี้ทั้งนั้น เมื่อทำกรรมดี จิตวิญญาณก็ส่งผลให้ไปอยู่ในจักรวาลอื่นๆ ที่เรียกว่าเทวโลกหรือพรหมโลกในชั่วระยะหนึ่ง เมื่อบุญกุศลได้หมดไปก็ได้กลับมาเกิดในโลก มนุษย์นี้อีก หรือทำกรรมชั่วเอาไว้ จิตวิญญาณก็จะได้รับผลในอบายภูมิ คือ นรก เปรต สัตว์ดิรัจฉาน อสุรกาย เมื่อกรรมชั่วหมดไปก็จะไก้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก จึงเป็นวัฏจักรที่จิตวิญญาณ ต้องหมุนเวียนไปมา ตามกรรมที่ทำไว้แล้ว เว้นแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยเจ้า ผู้สิ้นอาสวะกิเลสได้แล้วอย่างสมบูรณ์เท่านั้น จึงไม่มีการเกิดในโลกทั้งสามนี้อีกต่อไป นี้เป็นหลัก ของพระพุทธเจ้าที่พร้อมด้วยเหตุและผล ....

ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส ไว้ว่า ในโลกมนุษย์นี้ หากมีการประดับประดาให้สุดสวยงามงอนเหมือน ราชรถก็ย่อมทำได้ พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า ..."คนเขลาเท่านั้นข้องอยู่ คนฉลาดหาข้องอยู่ไม่"..   ....เมื่อเราได้รับรู้ในคำตรัสของพระพุทธเจ้าแล้วอย่างนี้ เรามีความคิดเห็นเป็นประการใด ให้เราใช้ปัญญา พิจารณาดูตัวเองบ้าง อาจสำนึกได้ว่าเราเป็นผู้ฉลาดหรือเป็นคนเขลากันแน่ ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนเขลา เราจะฝึกสติปัญญามาสอนใจให้มีความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริงได้อย่างไร ให้ใจมีความฉลาด รอบรู้ในหลักสัจจธรรมเอาไว้บ้าง ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนเขลา เราจะหาวิธีฝึกใจให้มีความฉลาดได้ ....ถ้าเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาด โอกาสที่จะเป็นคนเขลานั้นมีสูง หายากมากที่คนเราเกิดมาจะมีความฉลาด มาพร้อมกัน จะต้องมีความเขลาติดตัวมาด้วย แล้วฝึกความฉลาดให้เกิดขึ้นในภายหลัง หรือเหมือนที่คนเกิดมาจะมีความดีถูกต้องไปเสียทั้งหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกคนย่อมมีการทำผิด และพูดผิดมาก่อน แล้วนำมาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขตัวเองให้มีการทำและการพูดที่ถูกในภายหลัง ....

พระพุทธเจ้าเอาสัจธรรมมาสอนในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย มิใช่ว่าพระองค์จะเอามาจากที่อื่น เพราะ สัจธรรมความจริงมีอยู่ใตวเราอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม จึงได้เกิดความหลงและเกิดความ เข้าใจผิดคิดว่าสมบัติทั้งหลายเป็นของของเรา จึงเอาสมบัติของโลกมาทับถมใจตัวเองให้เกิดความทุกข์ หรือเรียกว่าแสวงหาความสุขในเหตุที่เป็นทุกข์ฉะนั้น พระธรรมจึงเป็นของเก่ามีมาพร้อมกันกับมวล หมู่มนุษย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ผ่านมาก็เอาสัจธรรมความจริงที่มีอยู่ในตัวของ มนุษย์ทั้งหลาย นำมาสอนให้มนุษย์มีความรู้เห็นที่ถูกต้องในความจริง จึงเรียกว่า พระพุทธเจ้าได้ ค้นพบหลักสัจธรรมในหมู่มนุษย์ แล้วสอนให้ทุกคนดูสัจธรรมที่มีอยู่ในตัวเอง ว่าทุกอย่างมีความ เป็นจริงอย่างนี้ด้วยสติปัญญาเฉพาะตัว 
Rin:
อายุขัยของมนุษย์


....เมื่อพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าที่ได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้หลาย
พระองค์ที่ผ่านมา หลายคนอาจมีความ สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ก่อนจะอธิบายประวัติของพระพุทธเจ้า
ให้ท่านได้รู้ จำเป็นต้องอธิบายใน ความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ให้เข้าใจ เพราะพระพุทธเจ้า
ที่ได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้ มนุษย์มีอายุขัยแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เท่ากัน
  บางยุคมนุษย์มีอายุขัยน้อย บางยุคมีอายุขัยมากไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าก็ต้อง
มีอายุขัยที่เป็นไปใน หมู่มนุษย์ตามยุคนั้นๆ อายุขัยของหมู่มนุษย์ไม่เท่ากัน เพราะเป็นกฎเกณฑ์ของ
ธรรมชาติต้องเป็น อย่างนี้ มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้อาจไม่รู้หรือไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ถึงอย่างไรขอให้ท่าน
ได้พิจารณา ด้วยปัญญาที่มีเหตุผล อย่าเพิ่งปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นไปแล้วในอดีตที่ผ่านมา ถ้าผู้ได้ ศึกษา
หนังสือพุทธวงศ์ จะรู้ในเรื่องของพระพุทธเจ้าแต่ละยุคได้ดีและมีความเข้าใจในอายุขัยของ หมู่มนุษย์ในยุคนั้นๆ

....อายุขัยของมนุษย์แต่ละยุคไม่เท่ากัน ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัย ขาลง
 มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้นมีอายุขัยขาลงเป็นอย่างไรท่านจะได้รู้ในหนังสือเล่มนี้ พระพุทธเจ้าที่มา
อุบัติเกิดขึ้นในโลกก็จะอธิบายเอาไว้พอเป็นตัวอย่าง คำว่า มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้นและขาลงมีเพดาน กฎเกณฑ์
เอาไว้ดังนี้

....มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น หมายถึง ยุคมนุษย์ที่มีอายุขัยยาวนานที่สุด ๑ ล้านปี เป็นอายุขัย
อายุขัยของมนุษย์ขาลงต่ำสุดมี ๑๐ ปีเป็นอายุขัย... อายุขัยขาขึ้นและขาลงจะเป็น
กฎธรรมชาติในตัวมันเอง มนุษย์ทั้งหลายจะมีอายุขัยเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ของธรรมชาตินี้ด้วยกัน
เรียกว่ากฎเกณฑ์ของอายุขัย ไม่มีสิ่งใดๆเปลี่ยนแปลงได้เลย มนุษย์และสัตว์ จะเป็นไปตามธรรมชาติ
 เป็นวัฏจักรหมุนเวียนวนไปมาอยู่อย่างนี้ เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น รูปร่าง สูงใหญ่ไปตามอายุขัย
ที่มากขึ้น เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาลง รูปร่างก็เตี้ยและเล็กลงตามอายุขัยในยุคนั้นๆ

....การคำนวณอายุขัยของมนุษย์ขาขึ้นและขาลงมีดังนี้ สมมติว่ามนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย อีก ๑๐๐ ปี
อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีเป็นอายุขัย อีก ๑๐๐ ปี อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๒ ปีตาย
 ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่ม ๑ ปี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ มนุษย์จะมีอายุขัย ๒๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย
 ๑ พันปีตาย ๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย นี้เป็นเพดานสูงสุดในอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆ

....จากนั้นก็จะเกิดอาเพท มีความประมาทในชืวิต อายุขัยก็จะถอยกลับลงมา ๑๐๐ ปี อายุขัยของ มนุษย์จะ
ลดลง ๑ ปี ๑๐๐ ปีอายุขัยลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนอายุขัย ๑ แสนปี ๑ หมื่นปี ๑ พันปี ๑๐๐ ปี
และลงสู่อายุขัย ๑๐ ปี ซึ่งจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่อย่างนี้ เรียกว่า วัฏจักรอายุขัย
 ของหมู่มนุษย์ทั้งหลาย

....ในหลักธรรมชาตินี้มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นได้รู้ด้วยญาณของพระองค์เอง จึงเป็นโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
อย่างเปิดเผยด้วยญาณรู้ของพระองค์ นี่ก็เป็นหลักสัจธรรมที่เป็นจริง เราทั้งหลายควรศึกษาให้รู้เอาไว้
หรือเอามาเป็นอุบายสอนใจตัวเองว่า วัฏจักรของชีวิตมีความเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีสิ่งใด
ถาวรเที่ยงแท้แน่นอนได้ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ด้วยกันทั้งนั้น

....มีเหตุผลประกอบอีกเรื่องเกี่ยวกับอายุขัยของมนุษย์ที่มีขาขึ้นขาลง ในหลักของพระพุทธศาสนา
จะอธิบายเรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมา ให้เราได้ศึกษาเอาไว้เพื่อประกอบการวินิจฉัย
ในอายุขัย ของหมู่มนุษย์ทั้งหลายที่ผ่านมา ให้รู้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าที่อุบัติ
 เกิดขึ้นในโลกนี้มีจำนวนมาก พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น แต่ละองค์มาตรัสรู้เป็น
เวลาห่างกันมาก ในภัทรกัปหนึ่งๆมีเวลายาวนาน ถึงจะมีภัทรกัปเท่ากันในบางภัทรกัปพระพุทธเจ้า
 มาตรัสรู้ ๑ องค์ เมื่อโปรดสัตว์แล้วก็นิพพาน ต่อจากนั้นก็จะเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพุทธศาสนา
 เป็นเวลาอันยาวนาน ในบางภัทรกัปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๓ องค์ ความว่างเป็นสุญกัปก็น้อยลง

Rin:
....ขอยกตัวอย่างในภัทรกัปปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ร่วมสมัยมี ๕ พระองค์ด้วยกัน แต่ละพระองค์
ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้มีอายุขัยไม่เท่ากัน

....พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ พระกกุสันโธ พระองค์ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ช่วงนั้นมนุษย์
มีอายุขัย ๔ หมื่นปี เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน จากนั้นมาเป็นสุญกัป เป็น
กัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นมี ๔ หมื่นปี ๑๐๐ ปีอายุขัยของมนุษย์ดลดลง
๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนถึงมนุษย์ในยุคต่อมา มีอายุขัย ๓ หมื่นปี ในยุคนี้มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
พระโกนาคมะโน ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

....จากนั้นมาก็เป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑๐๐ ปี
อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ ในยุคต่อมามนุษย์มีอายุขัย ๒ หมื่นปี ในยุคนั้นมี
พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ พระกัสโป ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้ว
ก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน อายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี จนถึงอายุขัยของ
มนุษย์ในยุคนั้น ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัย ในยุคนี้ มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ พระสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน)
ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

....พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้วางศาสนาต่อเอาไว้อีก ๕ พันปี ขณะนี้พระพุทธศาสนามาถึง ๒๕๕๐ ปี
อีก ๒๔๕๐ ปี พระพุทธศาสนาจะสูญไปจากโลกนี้ จากนั้นจะเป็นสุญกัปเป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา
ยาวนาน คำว่า "ว่าง" คือไม่มีใครรู้ในพุทธวจนะ ไม่รู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง
ถึงพระพุทธศาสนาจะหมดไปจากโลกนี้แล้วก็ตาม แต่สัจธรรมคือความจริงยังมีอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่มีใครรู้
เหมือนยุคสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ในยุคนั้นมีสัจธรรมอยู่ประจำโลก แต่ก็ไม่มีใครรู้
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงนำเอาสัจธรรมคือความจริงนั้นๆมาประกาศให้คนได้รู้ในภายหลัง
เป็นอันว่าในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้โปรดสัตว์แล้ว ๔ พระองค์ (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕
คือ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ยังไม่มาอุบัติในช่วงนี้)

....กฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าจะได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ จะมีอยู่ในช่วงอายุขัยของมนุษย์ขาลง
เท่านั้น และอายุขัยของมนุษย์ไม่เกิน ๑ แสนปี และมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี

....จากนี้ไป อายุขัยของมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๕๐ ปี
พระพุทธศาสนาก็จะสิ้นสุดลง นับจากนี้ไปอีก ๖ พันกว่าปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๐ ปีตาย ในยุคนั้น
หนุ่มสาวจะแต่งงานกันเมื่ออายุ ๓ ปี ตั้งครรภ์ ๓ เดือน นับจากวันนี้ไปถึงวันนั้นยาวนาน มนุษย์ทั้งหลาย
ทั่วโลกจะมีอายุขัยในช่วงเดียวกันทั้งหมด นี้เป็นหลักพุทธศาสตร์ ถ้าหากชาวพุทธได้ศึกษาในพระ
พุทธศาสนาดีแล้วจะรู้เรื่องนี้ดี ที่พวกฝรั่งจะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวออกไปนั้น เป็นความคิด
ความเห็นของท่านเหล่านั้น เมื่อหลักพุทธศาสตร์กับหลักวิทยาศาสตร์ไม่ตรงกันอย่างนี้ เราจะเชื่อ
ฝ่ายไหน ให้เราวินิจฉัยใช้สติปัญญาคิดพิจารณาในเหตุผลและตัดสินใจเชื่อด้วยตัวเองก็แล้วกัน

....เมื่อถึงยุคมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย จะเกิดกลียุค เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมยุคใหม่ เป็นสังคมมนุษย์
ที่มีอายุขัยขาขึ้น ก่อนจะเกิดสังคมมนุษย์ในยุคใหม่จะเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ในยุคนั้นๆ
ทุกคนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงฆ่ากันด้วยอาวุธต่างๆ เห็นกันอยู่ที่ไหนจะฆ่ากันในทันที ไม่มีใคร
ยอมใคร ผัวเมียและทุกๆคนจะมีความเห็นว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

....ก่อนที่จะเกิดกลียุคประมาณ ๑๐ ปี จะมีเทพอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะมาสืบทอดสังคมในยุคนั้น จะพากัน
ลงมาเกิดในสังคมที่มีอายุขัย ๑๐ ปีนี้มากมาย แล้วจึงได้เกิดกลียุคขึ้นกลุ่มเทพที่เกิดมาก็พากันหลบหนี
ไปอยู่ที่ปลอดภัย ปล่อยให้พ่อแม่ญาติทั้งหลายฆ่ากันตายหมดแล้ว จะมีฝนตกลงมาชะล้างซากศพ
คราบเลือดกลิ่นคาวที่ตกค้างในผืนแผ่นดินไหลลงสู่มหาสมุทรสุดสาครจนหมดสิ้น จากนั้นจะมีลม
พัดพาเอาแก่นคู่แก่นจันทร์อันเป็นทิพย์ ที่หอมอบอวลลงมาจากสวรรค์โปรยลงมาเป็นบรรยากาศที่
บริสุทธิ์ พร้อมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีความอุดมสมบูรณ์ในสมัยครั้งนั้น

....จากนั้น หนุ่มสาวทั้งหลายที่ไปหลบภัยกลียุคในป่าเขา ก็พากันออกมาสู่สถานที่เดิมเป็นหมู่ใหญ่
และมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีคุณธรรมด้วยกัน จึงจัดตั้งหัวหน้าเป็นผู้นำทำพิธีจัดคู่
หนุ่มสาวเหล่านั้นให้เป็นผัวเมียกันตามประเพณีในยุคนั้น แล้วพากันรักษาศีลกรรมบท ๑๐ อย่างสมบูรณ์
เคร่งครัด (ศีลกรรมบท ๑๐ แบ่งเป็น ๓ หมวด ๑. กายกรรม ๓ , ๒. วจีกรรม ๔ , ๓. มโนกรรม ๓)

....ลูกหลานที่เกิดมาก็พากันรักษาศีลกรรมบท ๑๐ สืบทอดต่อกันมายาวนานถึง ๑๐๐ ปี จากนั้น
อายุขัยได้เพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีตาย ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปีเป็น ๑๒ ปีตาย อายุขัยเพิ่มขึ้น
๑ ปีต่อ ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์มีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๒๐ ปีตาย ๕๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย ๑ พันปีตาย
๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย เมื่อมนุษย์มีอายุขาขึ้นนี้จะไม่มีพระพุทธเจ้า
มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้เลย ให้เราคิดคำนวณดูเองว่า นับแต่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย
๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนมนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี ให้เราคิดคำนวณดูว่ามีความยาวนานกี่ปี ในช่วงนี้
จะเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนายาวนานทีเดียว สังคมมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นและอยู่ร่วมกัน
อย่างมีสุขในยุคนั้นๆ

....เมื่อถึงยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี จะเกิดอาเพศเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดความเบื่อหน่าย
ในชีวิตอันเป็นอยู่ที่ยาวนาน มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ชีวิตจึงได้เกิดความแปรผันลดลง ๑๐๐ ปี
อายุขัยลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ เป็น ๙ แสนปีตาย ๘ แสนปีตาย ๑ แสนปีตาย ในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัย
๑ แสนปี จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ได้ ถ้าอายุขัยของมนุษย์
เกิน ๑ แสนปีขึ้นไป จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้แต่อย่างใด ถือว่ามนุษย์ในยุคนั้น
ยังมีความเพลิดเพลินในความเป็นอยู่ของชีวิต มีความสุขสบายในลาภ ยศ สรรเสริญ และมีความสุข
ในกามคุณ ไม่มีความทุกข์ใดๆ ด้วยเหตุดังนี้ จึงไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บ http://www.udon108.com/board/index.php?topic=20403.0;wap2 ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น