ธรรมะบทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับกรรมของสัตว์โลก คัดมาจากหนังสือประวัติของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เขียนโดยพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
กราบขออนุญาตและกราบขอบพระคุณ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ และพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านด้วยดวงใจ กุศลผลบุญใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานนี้ ขอน้อมถวายแด่ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ และพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน และจงเป็นบุญเป็นปัจจัยแด่ท่านเจ้าของภาพ และท่านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานนี้ทุกๆ ท่าน
เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิ ดังที่ทราบอยู่แก่ใจ อย่าลืมตัวลืมวาสนา โดยลืมสร้างคุณงามความดี ชาติของเราที่เคยเป็นมนุษย์อาจจะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายหายไปเป็นชาติที่ต่ำทราม ที่ไม่ปรารถนา
จะกลายมาเป็นตัวเราเข้า แล้วแก้ไม่ตก ความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุขทุกขั้น จนถึงบรมสุข และความทุกข์จนเข้าขั้นมหันต์ ทุกข์เหล่านี้มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์ ถ้าตนทำให้มี อย่าเข้าใจว่ามีได้เฉพาะผู้ที่กำลังเสวยอยู่เท่านั้นโดยผู้อื่นไม่มี
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ทำเองได้ ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน
เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้น หรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดี-กรรมชั่ว เรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น
จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้อย่างที่เราเคยเป็น ศาสนาเป็นหลักวิชาตรวจดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ
ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือน สิ่งดีชั่วที่มี และเกิดอยู่กับตนทุกระยะ มีใจเป็นตัวการพาให้สร้างกรรมประเภทต่างๆ จนเห็นได้ชัดว่า กรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นเหตุของกรรมทั้งหมด
กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย ถ้าเราสามารถรู้เห็นกรรมดี-กรรมชั่ว ที่ตนและผู้อื่นทำขึ้นเหมือนเห็นวัตถุต่างๆ จะไม่กล้าทำบาปแต่จะกระตือรือร้นทำแต่ความดี ซึ่งเป็นของเย็นเหมือนน้ำ ความเดือดร้อนในโลกก็จะลดน้อยลง เพราะต่างก็รักษาตัวกลัวบาปอันตราย
ท่านว่าดี-ชั่วมิได้เกิดขึ้นมาเอง แต่อาศัยทำบ่อยก็ชินไปเอง เมื่อชินแล้วก็กลายเป็นนิสัย ถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็แก้ไขยาก คอยแต่จะไหลลงไปตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ ถ้าเป็นฝ่ายดีก็นับว่าคล่องแคล่วกว่าขึ้นเป็นลำดับ
เราเกิดเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก อย่านำเรื่องสัตว์มาประพฤติมนุษย์เราจะต่ำกว่าสัตว์และเลวกว่าสัตว์อีกมากมายอย่าพากันทำ ให้พากันละบาปบำเพ็ญบุญทำแต่คุณความดี อย่าให้เสียชีวิตเปล่าที่มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์
การทำความเข้าใจเรื่องของกรรม เป็นการศึกษาธรรมะ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับภาวะของตัวเราเอง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกรรมที่ได้ทำไว้ ตามพุทธภาษิตที่มีว่า กรรม จำแนกสัตว์ ให้ทราม และประณีตต่างกัน
กรรม คือการกระทำ ดี-ชั่ว ทางกาย-วาจา-ใจ ผลคือความสุข-ทุกข์ ที่ได้รับกันอยู่ทั่วไป กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำคือหากินอยู่ ทางศาสนาเรียกว่า กรรมของสัตว์ ของบุคคลและผลกรรมของสัตว์ของบุคคล
เราจึงควรมีเมตตาสงสารในสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีความเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เช่นเดียวกับเราไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน
ความยิ่งหย่อนแห่งวาสนาบารมีนั้นมีได้ทั้งคนและสัตว์
สัตว์บางตัวมีวาสนาบารมี และอัธยาศัยดีกว่ามนุษย์บางคน แต่เขาตกอยู่ในภาวะเป็นสัตว์ก็จำต้องทนรับเสวยไป สัตว์เดรัจฉานก็ยังมีกรรมและเสวยกรรมไปตามวิบากของมัน
มิให้ประมาทเขาว่าเป็นสัตว์ที่เกิดในกำเนิดต่ำ ความจริงเขาเพียงเสวยกรรมตามวาระที่เวียนมาถึงเท่านั้น
เช่นเดียวกับมนุษย์ขณะที่ตกอยู่ในทุกข์จนข้นแค้น ก็จำต้องทนเอาจนกว่าจะสิ้นกรรม เมื่อมนุษย์เราเกิดเสวยชาติเป็นคน มีสุขบ้างทุกข์บ้าง ตามวาระของกรรมที่อำนวย
มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่งที่พามาให้เป็นอย่างนี้ ซึ่งล้วนผ่านกำเนิดต่างๆ มาจนนับไม่ถ้วน ให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ว่ามีต่างๆ กัน
เพราะฉะนั้นไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามในชาติกำเนิดความเป็นอยู่ของกันและกันและสอนให้รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมดี กรรมชั่ว เป็นของๆ ตน
ทุกท่าน ๆ แน่ใจหรือไม่ว่า บุญที่กำลังให้ผลทำให้ท่านรวยและมีความสุข จะให้ผล ถึงเมื่อไหร่ และอีกนานแค่ไหน วันนี้คุณทำบุญเพิ่มความดีให้ตัวเองบ้างหรือยัง ถ้ายังคุณกำลังประมาทอยู่ เพราะสมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ ท่านเคยสอนว่า บุญเท่านั้นที่ควรรีบทำ ไม่ว่าเวลาใด ถ้ายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน สังสารวัฏ ดังนี้
" บุญเท่านั้นที่ควรรีบทำไม่ว่าในเวลาไหน คนที่ยังต้องเกิดแก่เจ็บตาย
ต้องขวนขวายทำบุญ คนที่ไม่ประมาทเร่งทำบุญ "
สำหรับท่าน ที่กำลังทุกข์ อยู่อย่าเสียใจและประมาท เร่งทำบุญตามกำลังความสามารถ เพราะเวลานี้เป็นแค่ช่วงเวลาผลกรรมชั่วที่ทำไว้แค่ผ่านมา หมดเวลาของกรรมชั่ว ผล กรรมดีที่เราทำไว้ก็ให้ผลตามวาระเอง อย่าสงสัย
คนเรากรรมดีกรรมชั่วให้ผลตามวาระของเขา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปไม่จบสิ้นจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน คือเป็นพระอรหันต์เท่านั้น จึงสามารถพูดได้ว่าพระนิพพานเป็นสุขแท้จริงหาสุขใดเสมอมิได้ ดังนี้
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=13068&sid=50cf296f1a006a55ed82a677999b1d53
บุญได้จาก บุญกิริยาวัตถุ 10 , กุศลกรรมบถ 10 ประการ ฯลฯ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น