วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รู้ไหมว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์ นั้นยากแค่ไหน อย่าดูหมิ่นบุญตนเอง


                                            มนุษย์ผู้มีใจสูง มี ๔ จำพวก
 
สัตว์โลกที่ชื่อว่า  มนุษย์  เพราะอรรถว่าเป็นเหล่ากอแห่งพระมนู 
ก็พระโบราณาจารย์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า  สัตว์โลกทั้งหลายที่ชื่อว่า
มนุษย์ เพราะเป็นผู้มีใจสูง.

   มนุษย์เหล่านั้นมี  ๔  จำพวกคือ
 
พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป  ๑ (ทวีปใหญ่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ เป็นทวีป ๑ ใน ๔ ทวีป )
พวกมนุษย์ชาวอมรโคยาน  ๑ (ทวีปใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เป็นทวีป ๑ ใน ๔ ทวีป )
พวกมนุษย์อุตตรกุรุ ๑ (ทวีปใหญ่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เป็นทวีป ๑ ใน ๔ ทวีป )
พวกมนุษย์ชาวปุพพวิเทหะ  ๑ (ทวีปใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ เป็นทวีป ๑ ใน ๔ ทวีป )

เกิดเป็นมนุษย์แสนยาก
   ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค กล่าวความเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ความว่า

   ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงช้อนฝุ่นเล็กน้อยไว้ในปลายพระนขา(เล็บ) แล้ว
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน ฝุ่นเล็กน้อยที่เราช้อนขึ้นไว้ในปลายเล็บกับแผ่นดินใหญ่นี้ ไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มี
พระภาคทรงช้อนไว้ในปลายพระนขามีประมาณน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ ฝุ่นเล็กน้อยที่
พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ในปลายพระนขา ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับ การเปรียบเทียบ หรือแม้
ส่วนเสี้ยว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่ได้เห็น
อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติในพวกมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๗๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะ
กลับมาเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในกำเนิด
สัตว์ดิรัจฉาน มีมากกว่า ฯลฯ.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดใน
พวกเทวดามีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์
ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย(เปรต) มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๗๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากเทวดาแล้ว จะกลับมา
เกิดในพวกเทวดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากเทวดาไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ใน
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๗๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากเทวดาแล้ว จะกลับ
ไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากเทวดาไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ใน
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๗๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว จะกลับ
ไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ใน
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า ฯลฯ
             [๑๗๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว จะกลับ
ไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ใน
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๗๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไป
แล้ว กลับไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไปแล้ว
กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๗๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไป
แล้ว จะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไปแล้ว
กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๘๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว จะ
กลับไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิดใน
นรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า ฯลฯ
             [๑๘๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว จะ
กลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก
มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๘๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัย ไปแล้ว
จะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิด
ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน มีมากกว่า ฯลฯ.
             [๑๘๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว
จะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิดใน
ปิตติวิสัย มีมากกว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน?
คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย พึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณ-
*ภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.


ปฏิปทาให้มาเกิดเป็นมนุษย์
   สิกขาบท  ๕  อย่าง  ศีล ๕
   ๑.  ปาณาติปาตา  เวรมณี    [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์] 
   ๒. อทินนาทานา  เวรมณี   [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์]
   ๓. กาเมสุมิจฉาจารา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม] 
   ๔. มุสาวาทา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ]
   ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท] 

                                        มนุษย์ในโลกมี ๔ จำพวก
ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ได้กล่าวถึงบุคคล ๔ จำพวก ความว่า

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก
เป็นไฉน คือ   
         ผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑
         ผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑
         ผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑
         ผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑
 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร         
   บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล
ตระกูลช่างสาน  ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือ
ในตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูล เข็ญใจ มีข้าว น้ำและ
โภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่ม
ได้โดยฝืดเคือง
   อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก
เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือพิการไปแถบหนึ่ง
ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร
   เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจาและด้วยใจ
ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง       
อบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปอย่างนี้แล ฯ         
 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร
   บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล
ตระกูลช่างสาน ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือตระกูล
คนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูลเข็ญใจ มีข้าว น้ำและโภชนะน้อย
เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง
   อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก
เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือเป็นคนพิการไป
แถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้
ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร
   แต่เขาประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ ครั้นประพฤติ
สุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้วมีสว่างต่อไป อย่างนี้แล ฯ
       
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร
   บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล
ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูล
มั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่า
ปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สินเหลือล้น
   อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มี
ผิวพรรณงามยิ่งนัก เป็นผู้มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ
ระเบียบดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป
   แต่เขาประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติทุจริต
ด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
นรก บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีมืดต่อไปอย่างนี้แล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร       
   บุคคลบางคนในโลก เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล
ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูล
มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่า
ปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สินเหลือล้น
   อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มี
ผิวพรรณงามยิ่งนัก มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ
ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป
   เขาย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริต
ด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีสว่างต่อไปอย่างนี้แล
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

ระดับความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ 
ได้ยินว่า การเกิดที่จะได้อย่างยากในยุคปัจจุบันมี ๔ อย่างคือ
 
เกิดมาเป็นมนุษย์ ยากอย่างที่หนึ่ง
เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในแดนของพุทธศาสนา ยากอันดับสอง
เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในแดนของพุทธศาสนา และอยู่ในสมัยที่พุทธองค์มีพระชนม์ชีพอยู่  ยากอันดับสาม.
เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในแดนของพุทธศาสนา  อยู่ในสมัยที่พุทธองค์มีพระชนม์ชีพอยู่  และได้พบพระพุทธองค์ได้ฟังเทศนาจากพุทธองค์  ยากอันดับสี่.

พบพุทธศาสนาแล้ว ควรทำอย่างไร
   ในยุคปัจจุบัน  ประเทศไทยเราถือว่า ในอยู่แดนของพุทธศาสนา
และเราได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว  ถือว่า เรายังโชคดีที่ยังอยู่
ในเกณฑ์การเกิดยาก อันดับสอง  เพราะยังมีหลักธรรมให้ประพฤติ
ปฏิบัติได้  แต่สิ่งที่น่าห่วงก็คือ  การศึกษาหลักธรรมในปัจจุบัน  มี
บางท่านเห็นผิดไปจากความเดิม   อันเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย
   เหมือนดั่งคำอาจารย์ที่ว่า  จับงูที่หาง  จะถูกงูกัดตาย    หรือ
ดังความว่า บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีมืดต่อไป  ฉะนี้เป็นต้น
   ฉะนั้น  ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา  ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
จึงควรขวนขวายหาความรู้ในหลักธรรม  โดยความสุขุมรอบคอบ
พิจารณาไตร่ตรอง  ใคร่ครวญ  สอบถาม  เทียบเคียง กับบัณฑิตและ
ครูบาอาจารย์

เราเดินมาถูกทางหรือเปล่า
   สิ่งหนึ่งที่จะพึงให้เราสังเกตุได้ว่า การศึกษาในธรรมของเรา
มาถูกทางหรือเปล่า คือ สังเกตุในจิตใจของตัวเราว่า เรามีความ
โลภอยากได้  มีความโกรธอาฆาต  และหลงไปกับสิ่งต่าง ๆ น้อย
หรือมากกว่าเดิม เช่น  มีมิจฉาทิฏฐิ  ดื้อรั้น  ถือดี  ขัดเคืองใจง่าย 
ไม่ฟังคำเตือนของกัลยาณมิตร ถือว่า เราเดินทางผิด 
   แต่ถ้าหากศึกษาธรรมแล้ว  เริ่มเข้าใจสภาวความจริงของธรรมชาติ
ว่า  ทุกสิ่ง

      เรามีโลภอยากได้จนเกินเหตุหรือเปล่า 
      เราเป็นคนถือดีหรือเปล่า 
      เราเป็นคนโกรธง่ายหรือเปล่า
      เราหลงไปติดยึดกับสภาพแวดล้อมหรือเปล่า
      เรามีจิตใจอ่อนโยน มีสัมมาคารวะหรือเปล่า
      เรามีเมตตา กรุณา ต่อสรรพสิ่งทั้งหลายมากขึ้นหรือเปล่า
 
หากเราสังเกตุแล้ว  เห็นว่า สิ่งที่ดีที่กล่าวมามีมากขึ้นในจิตใจ 
สิ่งที่ไม่ดีที่กล่าวมามีน้อยลงในจิตใจ   ถือว่า เราเดินทางถูก

อย่าได้เสียชาติเกิด 
เมื่อเรามีความเห็นตรง  ก็จงพัฒนาจิตให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้น
เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏฏะ  อันเป็นกองทุกข์ทั้งสิ้น.
อย่าให้เหมือนคำว่า เข้าถ้ำสมบัติแล้วออกมามือเปล่า  อันจะเป็น
การเสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
 
ที่มา
พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
#ขุทฺทก.อ. ๑/๖/๑๔๒; ม.อุ. ๑๔/๕๗๙-๕๙๖;ที.ปา. ๑๑/๒๘๖.
#สํ.สฬ. ๑๘/๕๙๘-๖๐๑; สํ.ม. ๑๙/๑๗๙๒-๑๗๙๓; องฺ.จตุกฺก.๒๑/๘๕

แหล่งข้อมูล
http://www.84000.org/
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=605

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น