"กรรม" เทศนาธรรมจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
คนส่วนมากยังมีความเชื่อว่ามีผู้ดลบันดาล เช่น ดลบันดาลให้เกิดภัย ดลบันดาลให้เกิดโชคลาภ เป็นต้น แต่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า คนมีกรรมเป็นของตน จะมีสุขหรือทุกเพราะกรรม ก็เปลี่ยนให้คนมากลัวกรรมกันอีก เช่นเดียวกับที่เคยกลัวผู้ดลบันดาล เมื่อคิดถึงก็คิดเห็นไปคล้ายกับเป็นตัวทุกข์มืด ๆ อะไรอย่างหนึ่งที่น่าสะพึงกลัว ผู้เงือดเงื้อจะลงโทษ กรรมจึงคล้ายผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเข้าใจในทางร้ายอยู่เสมอ เมื่อได้ดีมีสุขก็กลับกล่าวว่าเป็นบุญบารมี กรรมจึงไม่มาเกี่ยวในทางดีตามความเข้าใจของคนทั่วไป
นอกจากนี้ คนจะทำอะไรในปัจจุบันก็ไม่ได้นึกถึงกรรม เพราะเห็นว่ากรรม ไม่เกี่ยว กรรมจึงกลายเป็นอดีตที่น่ากลัว ที่คอยจะให้ทุกข์เมื่อไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่สามารถจะป้องกันได้เท่านั้น ดูก็เป็นเคราะห์กรรมของกรรมยิ่งนักที่ถูกคนเข้าใจไปเช่นนี้ อันที่จริงพระพุทธศาสนาได้สอนให้คนเข้าใจในกรรมเช่นนี้ไม่ ไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม เป็นทาสของกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจกรรม แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน
“ กรรม” คือ กาลอะไรทุกอย่างที่คนทำอยู่ทุกเวลา ประกอบด้วยเจตนา คือ ความจงใจ ทุกคนจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร ย่อมมีเจตนาคือ ความจงใจนำอยู่ก่อนเสมอ และในวันหนึ่งก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ไปตามที่ตนเองจงใจจะพูด จะทำ จะคิด นี่แหละคือกรรม วันหนึ่ง ๆ จึงทำกรรมมากมายหลายอย่าง หลีกกรรมไม่พ้น พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรม
หลักใหญ่ก็มุ่งให้พิจารณาให้รู้จักปัจจุบันกรรมของตนนี้แหละว่า “อะไรดีอะไรชั่ว อะไรควรไม่ควร เพื่อที่จะได้เว้นกรรมที่ชั่วที่ไม่ควร เพื่อที่จะทำกรรมที่ดีที่ควร “ และพระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ว่า “บุคคลสามารถจะละกรรมที่ชั่ว และกลับมาทำกรรมที่ดีได้” จึงได้ตรัสสอนไว้ให้ละกรรมที่ชั่ว ทำกรรมที่ดี ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ตรัสสอนไว้ และการละกรรมชั่วทำกรรมดีถ้าให้เกิดโทษทุกข์ ก็จะไม่ตรัสไว้อย่างนี้ แต่เพราะให้เกิดประโยชน์สุข จึงตรัสสอนไว้อย่างนี้ พระพุทธโอวาทนี้แสดงว่า คนมีอำนาจเหนือกรรม อาจควบคุมกรรม ( กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ) ของตนได้ ( จะทำกรรมดีหรือกรรมชั่วอยู่ที่ตัวเลือกทำ ให้ผลดี ( สูง ) ให้ผลเสีย ( ต่ำ ) อยู่ที่การกระทำของตัวนั่นเอง ) แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าต้องควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น แน่วแน่ใน หิริ โอตตัปปะ พรหมวิหารสี่ เมตตา สติ ( รู้คิด ) สัมปชัญญะ ( รู้ตัว ) ปัญญา สัจจาธิษฐาน เป็นต้น อันเป็นส่วนของจิต ( สัมมาทิฐิ ตั้งใจชอบ รวมถึงสัมมาสังกัปปะ ความคิดชอบ คิดแต่สิ่งเป็นกุศล ) และศีล อันหมายถึง ตั้งเจตนาเว้นการ ที่ควรเว้น ทำการที่ควรกระทำใน ขอบเขต อันควร
ที่ว่า คนมีอำนาจเหนือกรรมปัจจุบัน ด้วยการควบคุมจิตเจตนาให้เว้นหรือทำกรรมอะไรก็ได้นั้น ถ้าพูดเพียงเท่านี้ก็ดูไม่มีปัญหา แต่ถ้าพูดถึงกรรมอดีตที่จะส่งผลให้ในปัจจุบัน ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกสำหรับผู้ที่เชื่อในอดีตชาติว่า กรรมที่ทำให้ในอดีตชาติจะส่งผลให้ในชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น จึงกลัวอำนาจของกรรมอดีต เหมือนอย่างกลัวอำนาจมืดที่จะมาทำร้ายเอาแน่ ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนาแสดงไว้อย่างไรสมควรจะพิจารณา
ประการแรก พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลเป็นทายาทรับผลกรรมที่ตนได้ทำไว้แล้ว ข้อนี้เป็นกฎธรรมดาข้อมาติกา คือแม่บท ไม่มีผิดเหมือนอย่างที่คำโบรารณว่า “กำปั้นทุบดิน” แต่ยังมีกฎประกอบอีกหลายข้อเหมือนอย่างดินที่ทุบนั้น ยังมีปัญหาต่อไปอีกหลายข้อว่า ดินที่ตรงไหน เป็นต้น เมื่อกล่าวว่าดินแล้วก็คลุมไปทั้งโลก คำว่ากรรมก็ฉันนั้นคลุมไปทั้งหมดเพราะคนทุกคนทำกรรมต่าง ๆ ซับซ้อนกันมากมายเหลือเกิน กรรมอันไหนจะให้ผลเมื่อไร จึงมีกฎแบ่งกรรมออกไปอีก สรุปลงว่า กรรมหนักหรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ ให้ผลก่อน กรรมที่เบากว่า หรือที่ทำไม่บ่อยนัก คนเรานั้นทำมาทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จึงมีสุขบ้างทุกบ้างสลับกันไป ผู้ที่มีสุขมากก็เพราะกรรมหนัก หรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ ฝ่ายดีกำลังให้ผล ผู้ที่มีทุกข์มากก็ตรงกันข้าม
( ดังนั้นถ้ากลัวกรรมชั่วในอดีตให้ผล ควรรีบทำกรรมดีกรรมที่เป็นกุศลให้บ่อยๆ เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ทุกเช้า เย็น หรือสร้างบุญกุศลโดย ให้ทาน แก่ส่วนรวม แก่พระพุทธศาสนา และที่สำคัญ อย่าสร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีก ให้พยายามละชั่วทุกประการ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เช่น ยึดหลัก กุศลกรรมบถ 10 ประการ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ หากใครอยากพ้นทุกข์ต้อง อารธณา มรรค 8 ประการ ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสั่งสอนทางพ้นทุกข์ให้แล้ว )
( ดังนั้นถ้ากลัวกรรมชั่วในอดีตให้ผล ควรรีบทำกรรมดีกรรมที่เป็นกุศลให้บ่อยๆ เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ทุกเช้า เย็น หรือสร้างบุญกุศลโดย ให้ทาน แก่ส่วนรวม แก่พระพุทธศาสนา และที่สำคัญ อย่าสร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีก ให้พยายามละชั่วทุกประการ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เช่น ยึดหลัก กุศลกรรมบถ 10 ประการ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ หากใครอยากพ้นทุกข์ต้อง อารธณา มรรค 8 ประการ ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสั่งสอนทางพ้นทุกข์ให้แล้ว )
และในปัจจุบันนี้ใครก็ตามมีความไม่ประมาท ประกอบกรรมที่ดี อย่างหนักหรือบ่อย ๆ กรรมดังกล่าวนี้จะสนองผลให้ก่อน กรรมชั่วในอดีตหากได้ทำไว้ ถ้าเบากว่าก็ไม่มีโอกาสให้ผล ฉะนั้น ผู้ที่ทำกรรมดีมากอยู่เสมอ ๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีต หากจะมีกุศลของตัวจะชูช่วยให้มีความสุขความเจริญสืบไป และถ้าแผ่เมตตาจิตอยู่เนือง ๆ ก็จะระงับคู่เวรในอดีตได้อีกด้วย ระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน ทั้งเมื่อได้ดำเนินในมรรคมีองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าเพื่อความสิ้นทุกข์ ก็จะดำเนินเข้าสู่ทางที่พ้นจากกรรมเวรทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ตัณหาเป็นกรรม สมุทัยคือ เหตุให้เกิดกรรม มรรคเป็นทางดับกรรม ฉะนั้น จึงไม่ต้องกลัวอดีต แต่ให้ระวังปัจจุบันกรรม และระวังใจ ตั้งใจให้มั่นไว้ในธรรม ธรรมก็จะรักษาให้มีความสวัสดีทุกกาลทุกสถาน”
(จาก….. "พระพุทธศาสนา และการนับถือพระพุทธศาสนา”
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
ข้อความในวงเล็บ เพิ่มเติมโดยผู้เขียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น