วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มหาศิลาเปรต และ เวลาที่นานแสนนานกว่าจะได้กลับเป็นภูมิมนุษย์อีกครั้ง

         เรื่องนี้ มีข้อคิดให้คนเราควรเร่งความเพียร ให้พ้นทุกข์เข้าสู่นิพพานโดยเร็ว เพราะถ้าเผลอใจทำผิด อาจจะต้องตกนรกนานแสนนานแล้วเป็นเปรตอีกนานแสนนาน แล้วเกิดเป็นคนถ้าไม่เร่ง ทำบุญสร้างกุศล ทานศีลภาวนา ปฏิบัติตามมรรค 8 ให้พ้นทุกข์ อาจเกิดในที่ไม่มีพุทธศาสนา หรืออาจไม่ได้เกิดเป็นคนอีกนานแสนนาน  ดังที่พระท่านเทศน์เสมอว่า เกิดเป็นคนแสนยาก เกิดเป็นคนแล้วมีอาการครบ 32 ประการ ก็ยากอีก และเกิดพบพระพุทธศาสนาก็ยากอีก ขอให้ทุกท่านลองคิดพิจารณาดูเถิด มันน่ากลัวเพียงใด ถ้าหลุดไปอบายภูมิ  ( นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ) เข้าให้ละก็......................นึกสภาพไม่ออกเลยครับ ต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะได้ มาเป็นคน มีอาการครบ32 และได้พบพระพุทธศาสนาอีก.....................


เปิดตำนาน มหาศิลาเปรต พระพุทธบาทสี่รอย

อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ฉบับล้านนาไทย

ความเป็นมาของมหาศิลาเปรต

            ในช่วงสมัยหนึ่งได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า” เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ล่วงพ้นวัฏฏสงสาร เฉกเช่นเดียวกับ
พระสมณะโคดมพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันสมัยนี้………………


ในครั้งนั้น ยังมีพระสาวกองค์หนึ่งในพระวิปัสสีพุทธเจ้า มีฐานะเป็นพระสังฆนายก
ปกครองพระภิกษุเถรานุเถระเป็นจำนวนมาก แต่พระสังฆนายกองค์นี้ กลับแสวงหาปัจจัยทั้งสี่ อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานะปัจจัยมากเกินสมควรได้มีคำสั่งออกไปทั่ว สังฆมณฑลว่า “วัดของเรานี้ ไม่เหมือนวัดอื่นๆด้วยเป็นที่ชุมนุมของพระมหาเถระเจ้าทั้งหลาย อยู่เนืองนิตย์

ฉะนั้น ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงนำเอาปัจจัยสี่ อันเป็นของสงฆ์ทั้งหลาย อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานะปัจจัย รวมทั้งแก้วแหวนเงินทองทั้งปวง มาให้แก่วัดเรา เพื่อว่าเราจะได้นำมาถวายทาน แก่พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายต่อไป” เมื่อพระภิกษุทั้งหลาย ได้รับคำสั่งของพระสังฆนายกดังนี้แล้ว


ต่างก็ล้วนลำบากใจ แต่ไม่กล้าทักท้วงคัดค้าน ด้วยเกรงจะมีความผิด คงได้แต่จำใจนำของมามอบให้ ที่วัดของพระสังฆนายกจนเต็มโบสถ์ เต็มวิหารไปหมด ท้ายที่สุด เมื่อพระสังฆนายกองค์นั้นได้มรณภาพลงไปแล้ว ก็ได้ตกนรกจมลงไปหมกไหม้อยู่ในอบายภูมิทั้ง ๔ ตลอดกาลนาน ด้วยผลกรรมที่ได้เบียดเบียนพระสงฆ์ทั้งหลาย ให้ต้องได้รับความลำบาก เมื่อชดใช้กรรมในนรกแล้ว อดีตพระสังฆนายกองค์นั้น ก็ได้เกิดมาเป็นเปรต มีนามว่า
“มหาศิลาหลวงใหญ่”(เปรตหิน) พูดวาจาใดๆไม่ได้ ด้วยสรีระกลายเป็นหิน


พระพุทธเจ้ากกุสันโธ เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
          นับตั้งแต่ " สมัยนั้น " เป็นต้นมา จนกาลเวลาได้ล่วงเลยมาถึง ๙๒ กัป ลุถึงสมัย “พระพุทธเจ้ากกุสันโธ”ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ในมหาภัทรกัปป์นี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรตแล้ว
จึงทรงประทับรอยพระบาทไว้เหนือก้อนหินมหาศิลาเปรตนั้นเป็นรอยแรก และทรงมีพระมหากรุณาตรัสสอนมหาศิลาเปรต
และให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะกิจ โจ อัปปะกิจ โจ” ซึ่งหมายถึง เป็นนักบวชควรทำตนเป็นผู้มีภาระน้อย เพราะการมีภาระมาก ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผลนิพพาน จะกลายเป็นมารมาผูกมัดจิตใจทำให้ตนต้องไปตกอยู่ในอบายภูมิ 

พระพุทธเจ้าโกนาคมโน เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
         ภายหลังที่พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็มาถึงสมัยของ “พระพุทธเจ้าโกนาคมโน”
พระองค์ก็ได้เสด็จมาที่มหาศิลาเปรต และได้ตรัสสอนมหาศิลาเปรต ให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “สัลละหุ กะวุตติ “
ไปตลอด จะได้หลุดพ้นจากความเป็นเปรตในภายภาคหน้า จากนั้น พระพุทธเจ้าโกนาคมโน
ก็ได้ทรงประทับรอยพระบาทซ้อนไว้ในรอยพระบาทของพระพุท ธเจ้ากกุสันโธ เป็นรอยที่ ๒
(ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยที่ ๑ )


พระพุทธเจ้ากัสสโป เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
             ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโน ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็มาถึงสมัยพระพุทธเจ้ากัสสโป ซึ่งพระองค์ก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต ด้วยเหตุผล ๒ ประการ
คือเพื่อทรงชี้แนวทางตรงไปสู่พระนิพพานหนึ่ง และเพื่อให้มหาศิลาเปรตนั้น
พ้นจากปิตติวิสัย(แดนของเปรต)อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้ากัสสโป จึงเสด็จมาโปรดที่มหาศิลาเปรต เป็นพระองค์ที่ ๓ และได้ทรงมีพระพุทธดำรัส ตรัสชี้แนะให้มหาศิลาเปรตนั้น
ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะคัพโภ อัปปะคัพโภ” ด้วยทรงมีพระมหากรุณาให้พ้นจากความเป็นหิน
แล้วจึงได้ทรงประทับรอยพระบาท ซ้อนไว้ในรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 2 พระองค์ ปรากฏเป็นรอยที่ ๓
ขึ้นมา(ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยพระพุทธบาททั้ง ๒ รอย)


พระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบัน) เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
ภายหลังจากที่ “พระพุทธเจ้ากัสสโป” ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
ก็มาถึงพุทธสมัยแห่งพระศาสนาของ”พระพุทธเจ้าโคตโม”(พระสมณะโคดม) ได้เสด็จจาริกประกาศธรรมโปรดเวไนยสัตว์ไปตามสถานที่ต่างๆพร้อมด้วยพุทธสาวก ๕๐๐ องค์ มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอานนท์เป็นต้น

จนกระทั่งเสด็จมายังปัจจันตประเทศ(ประเทศไทยมนปัจจุบ ัน) ถึงเทือกเขาตอนเหนือของประเทศ ชื่อเวภารบรรพต(สถานที่แห่งนี้) และได้แวะเสวยจังหัน อยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้

เมื่อพระพุทธองค์เสวยจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั่น ก็ได้ทรงทราบด้วยพระญาณสมาบัติ
ว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ก่อนใน ภัทรกัปป์นี้ ประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ พระองค์ก็ทรงเล็งดู รอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ

พระพุทธเจ้ากกุสันโธ,พระพุทธเจ้าโกนาคมโน,พระพุทธเจ้ ากัสสโป……………
ในวาระนั้น พระพุทธเจ้าโคตโม ได้มีพระพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า
“ดูกรอานนท์ ก้อนศิลาอันงามวิเศษ ที่เป็นเหตุโปรดสัตว์ทั้งหลายยังปรากฏมีอยู่ฤๅ”
พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก จึงกราบทูลว่า

“ภันเต ภะคะวา ก้อนหินนี้ มีรอยพระพุทธบาทใหญ่ ๓รอย งดงามยิ่งนัก เหมือนรอยพระพุทธบาทของพระศาสดาพระพุทธเจ้าข้า “
จากนั้น พระพุทธเจ้าโคตโม จึงได้ตรัสถึงอดีตกาลที่ได้ผ่านมาแล้วแต่ปางบรรพ์ประ ทานแก่พระอานนท์และพุทธสาวก ว่า……………


“ดูกรอานนท์ ก้อนศิลานี้มิใช่ศิลาแท้จริงดอก แต่เป็นก้อนอสุรา ที่กลับกลายเป็นก้อนศิลา(เป็นศิลาเปรต) ศิลานี้เคยเป็นพุทธสาวกในพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี สมัยนั้นท่านเป็นพระสังฆนายก ถืออำนาจบาตรใหญ่ บังคับเอาของของคนอื่นมาเป็นของตน ตนเองเป็นพระภิกษุ แต่มักมาก

ถือว่าตนเองฉลาดคิดว่าตนเองได้ของมาโดยบริสุทธิ์ โดยมิได้คำนึงถึงความผิดถูกตามพระธรรมวินัยถือว่าตนเองเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าแลเป็นใหญ่ เอาของของสงฆ์มาใช้ตามอำเภอใจ จึงทำให้เกิดเป็นศิลาเปรตอยู่ในบัดนี้ พระพุทธเจ้าทั้ง ๓พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ ทุกพระองค์

และแม้พระศรีอริยเมตไตรย ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ และจักประทับรอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว(คือประทับลบทั้งสี่รอยให้เหลือรอยเดียว)……….
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแก้สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว

พระองค์ก็เสด็จประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ แล้วก็ทรงอธิษฐานว่า ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลาย ก็จักนำเอาพระธาตุ ของตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้ ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ก็จักปรากฏแก่ปวงมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เพื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย จักได้มากราบไหว้และสักการะบูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้ว จึงมีรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์

จึงกำเนิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอย………………
เมื่อพระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทแล้ว ก็เสด็จไปเชตวันอาราม อันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล


เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลาย ก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที ่พระพุทธบาทสี่รอย และเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ วัสสา (ปี)

เทวดาทั้งหลายต้องการให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลาย ตามที่พระองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้ง(เหยี่ยว)ตัวใหญ่ บินลงมาจากเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ ไปจับลูกไก่ของชาวบ้าน(พรานป่า)ที่อาศัยอยู่เชิงเขาเวภารบรรพต แล้วบินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขาพรานป่าโกรธมาก จึงติดตามขึ้นไป คิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นอีก เห็นแต่รอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นจึงทำการสักการะบูชา เสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้าน ก็บอกเล่าแก่ชาวบ้านทั้งหลาย

คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชา และเรียกขานพระพุทธบาทนั้นว่า พระบาทรังรุ้ง(รังเหยี่ยว)……………

บูรพมหากษัตริย์ในอดีตของล้านนาและเชื้อพระวงศ์และบูรพมหากษัตริย์ของไทย
ที่เคยเสด็จไปกราบไหว้และสักการะบูชารอยพระพุทธบาทสี่รอย…………..


ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาประสงค์จะเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอย ครั้นแล้วได้เสด็จพร้อมด้วยพระราชเทวีและเสนาอมาตย์พ ร้อมกับบริวารทั้งหลาย และเมื่อทรงกราบนมัสการเสร็จแล้ว พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวีและบริวารทั้งหลาย จึงเสด็จกลับสู่เมืองเชียงใหม่ เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยน(สิ้น)อายุขัยแล้ว พระโอรสและพระนัดดา ที่สืบราชสมบัติต่อมา ก็เจริญรอยตามพระยุคลบาท ได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาททั้งสี่รอยทุกๆพระองค์ หลังจากนั้นมา พระบาทรังรุ้ง หรือ รังเหยี่ยว นี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “พระพุทธบาทสี่รอย “…………..
__________________


มาในสมัยยุคหลัง คนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่า พระพุทธบาทสี่รอย
เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย
คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมาแล้ว ในภัทรกัปป์นี้ คือ
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ซึ่งเป็นรอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว ๑๒ ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมโน เป็นรอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสโป เป็นรอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ ๔ รอยเล็กสุด ยาว ๔ ศอก
เมื่อมาถึงพระยาธรรมช้างเผือก
ผู้ครองนครเมืองเชียงใหม่พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ก็เสด็จขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาทสี่รอยและได้ สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิม
ถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทสี่รอยบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไปดู ซึ่งก็คงขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้น พระยาธรรมช้างเผือก จึงรับสั่งให้สร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้าน รอบๆก้อนหินที่มีพระพุทธบาทสี่รอยเพื่อที่ผู้หญิงจะไ ด้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วยและได้สร้างหลังคาชั่วคราว มุ งไว้…………..

ต่อมาพระชายาเจ้าดารารัศมีได้เสด็จขึ้นไปกราบนมัสการ พระพุทธบาทสี่รอย และได้มีศรัทธาก่อสร้างวิหารเพื่อเป็นการสักการะบูชา รอยพระพุทธบาทไว้ ๑ หลัง หลังเล็ก ถวายเป็นพุทธบูชา ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้ว ทั้งหลังจะเหลือไว้แต่ผนังวิหาร พื้นวิหาร
และแท่นพระซึ่งยังเป็นของเดิมอยู่ ถ้าหากท่านใดมีโอกาสขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย

ก็จะเห็นวิหารแห่งนี้…………….
นอกจากนี้ หลักฐานในกาลวัตถุที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่ง
ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือโบราณ ”คำให้การของขุนหลวงหาวัด”
ซึ่งเป็นหนังสือบันทึกเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยาตั้ง แต่ต้นจนอวสาน ที่พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่า


มีพระบัญชาให้อาลักษณ์บันทึกจากถ้อยรับสั่งของเจ้าฟ้ าอุทุมพร(ขุนหลวงหาวัด)
ภายหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๓๑๐ ไว้อย่างละเอียด โดยตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึง

เมื่อคราวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย(สมัยโบราณเรียก
รอยพระพุทธบาทรังรุ้ง หรือ รอยพระพุทธบาทเขารังรุ้ง) ไว้อย่างชัดเจนว่า……………..

“สมัยสมเด็จระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหาง พระองค์ทรงทราบว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาเรียก ”เขารังรุ้ง” จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ ทรงเปลื้องเครื่องทรงทั้งสังวาลย์และภูษา
แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระพุทธบาทและทำสักการะบูชาด้วย ธง ธูป เทียน ข้าวตอก ดอกไม้
มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี “……………
จากข้อความประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราได้ทราบข้อเท็จจริงในทางโบราณคดีเพิ่มเติมอี กประการหนึ่งว่า โดยแท้จริงแล้วรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยรอยแรกที่คนไ ทยได้ค้นพบและรู้จักมักคุ้นนั้นก็คือ พระพุทธบาทสี่รอย อันประดิษฐานอยู่ ณ เขต อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบันนี่เอง

ในขณะที่รอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี ณ เขาสัจจพันธ์นั้น ได้รับการค้นพบเจอในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมซึ่งเป็นยุ คหลังจากรัชสมัยแห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงกว่า 5 ศตวรรษ จากสาส์นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ทรงบันทึกไว้ว่า พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
แม้กรุงศรีอยุธยาก็ยังจำลอง รอยพระพุทธบาทไปไว้ที่ ปราสาทนครหลวง ที่วัดจันทร์ลอย
ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา………….

พระอริยสงฆ์ที่สำคัญของล้านนาและของประเทศไทย
ที่เคยธุดงค์เพื่อไปกราบสักการะบูชารอยพระพุทธบาทสี่ รอย………………..

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหาร ที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราวนั้นเสียแล้ว
ได้สร้างวิหารใหม่ครอบรอยพระพุทธบาทไว้ และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอย
เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาสืบไปตลอดกาลนาน………… …….

ด้วยวัดพระพุทธบาทสี่รอย เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าถึง ๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าโกนาคมโน พระพุทธเจ้ากัสสโป พระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบัน)

จึงนับได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญมาก เป็นที่สักการะบูชาของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลายซึ่ งพระพุทธบาททั้งสี่รอยนี้ ครูบาอาจารย์ พระธุดงค์กรรมฐานสายครูบาเจ้าศรีวิชัย หลายองค์ อาทิเช่น ครูบาหน้อย ชยวํโส วัดบ้านปง,ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง,ครูบาอินแก้ว ,ครูบาดวงดี


วัดท่าจำปี,ครูบาบุญปั๋น ธัมมปัญโญ วัดร้องขุ้ม,ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพรพุทธบาทห้วยต้ม,พระอาจารย์ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง,ครูบาเทือง นาถสีโล วัดบ้านเด่น เป็นต้น และพระธุดงค์กรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ได้แก่หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร,หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญญวิเวก นครพนม,หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย,หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง เชียงใหม่,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ เลย,

หลวงปู่สิม พุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่,หลวงปู่จาม,พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป และอีกหลายองค์ ในสายพระอาจารย์มั่น นอกจากนี้ยังมีหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์ ( ได้ยาอายุวัฒนะจากบริเวณป่าใกล้วัดพระพุทธบาทสี่รอย) หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร,หลวงพ่ออุตตมะ อุตตมรัมโภ วัดวังก์วิเวการาม(ได้ธุดงค์ไปองค์เดี่ยว เพื่อไปกราบนมัสการเมื่อ ๔๐ กว่าปีมาแล้ว ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ) และหลวงพ่อสมควร

วัดถือน้ำ นครสวรรค์,หลวงปู่เมฆ วัดป่าขวางพระเลไลย์ สงขลา ได้เคยเดินธุดงค์ขึ้นไปนมัสการแล้วและได้รับรองว่าเป ็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง………………
นอกจากนี้ ยังได้รับคำยืนยันรับรองของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดอรัญญวิเวก จังหวัดนครพนมว่า

รอยพระพุทธบาทดังกล่าว เป็นรอยพระพุทธบาท ๔ รอยของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ในมหาภัทรกัปป์นี้จริง และเป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัปป์ ที่สำคัญสูงสุดในจักรวาล และรอยพระพุทธบาททั้ง ๔ รอยนี้ ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่………………………

นอกจากนี้ หลวงปู่สิม พุทธจาโร ซึ่งเคยเดินขึ้นไปนมัสการมาแล้วเช่นกัน ดังธรรมเทศนาของท่านตอนหนึ่ง(คัดลอกมาจากหนังสือพุทธ าจารานุสรณ์ ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สิมพุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พุทธศักราช ๒๕๓๖ )……..

“ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอยอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา
หลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูแล้ว ไปกราบไหว้ เป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยม ขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ พระพุทธเจ้ากกุสันโธได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดหินก้อนนั้น ยาวขนาด ๑๒ ศอก เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว พระพุทธเจ้าโกนาคมโน
ก็มารื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพานท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้เป็นร อยที่สอง(ขนาด)ลดลงมา มาถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอย และพระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพาน
           ก็เหยียบรอยพระบาทไว้ในก้อนหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า พระพุทธบาทสี่รอย ยังมีพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้ แล้วโปรดเวไนยสัตว์ ก็มาเหยียบไว้อีก เรียกว่าแผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด แผ่นดินนี้ เรียกว่าภัทรกัปป์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสสอนก็ตาม ก็สอนให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ละกิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลงอันเก่านี่แหละ

                เมื่อใดปฏิบัติภาวนาบารมีเต็มแล้ว ก็รู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อรูปนามแตกดับแล้ว ไปสู่นิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกอันแสนทุรกันดารนี้อีกต่อไป
 “………….. สถานที่ประดิษฐานของพระพุทธบาทสี่รอยดั้งเดิมที่มีผู ้รู้บางท่านสันนิษฐานไว้…………….
มีผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า ความจริงแล้ว หินก้อนนี้อยู่ที่ป่าหิมพานต์ แต่นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า หินนั้นได้ตั้งอยู่ ณ ที่นี้ ส่วนผู้ที่จะกล่าวแก้ควรบอกว่า ป่าก็ดี เขาก็ดี ที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ไม่ขาด ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า ป่าหิมพานต์ ธรรมชาติของเปรตทั้งหลาย ไม่เคยมีตัวมีตนในเมืองมนุษย์

แต่ธรรมชาติของเปรตทั้งหลาย ย่อมเกิดเป็นตัวเป็นตนในป่าหิมพานต์เท่านั้น หากแต่พระอริยสาวกทีมีอิทธิปาฏิหาริย์ ได้อัญเชิญมาด้วยกำลังฤทธิ์ เพื่อที่จะให้เป็นที่กราบไหว้และสักการะบูชาแก่ชาว “ตามิละ “(ลัวะ)…………… พวกชาวเขา(ลัวะ)และคน”ยาง” หากมารักษาและสักการะรอยพระพุทธบาทแล้ว ฝนฟ้าก็จักตกต้องตามฤดูกาลเป็นอันดี ด้วยพุทธานุภาพ และแม้
         ในกาลอนาคต พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่หินก้อนนี้อีก เป็นรอยที่ ๕ จนล่วงไปอีกราว ๒,๐๐๐ ปี หินก้อนนี้ก็จะแตกสลายลง บังเกิดเป็นมนุษย์ขึ้น ซึ่งมนุษย์คนนี้ จะได้บวชในพระพุทธศาสนา สำเร็จมรรคผลนิพพานในสมัยพระศาสนาแห่งพระศรีอริยเมตต ไตรยพุทธเจ้านั่นแล ฯ

ยังมีพระผู้รอบรู้พระไตรปิฎกองค์หนึ่ง ถามว่า “พระบาท ๔ รอยนี้ จะเจริญรุ่งเรืองเมื่อใด “…………..


ผู้ที่จะกล่าวแก้ปัญหาควรกล่าวว่า “ดูกรท่านทั้งหลาย อันบาลีแห่งพระพุทธเจ้า กล่าวไว้ว่า ปฐมเบื้องต้น มัชฌิมะเบื้องกลาง ปัจฉิมะเบื้องปลาย เหตุบาลีว่า อาทิกัลยาณัง งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง งามในท่ามกลาง ปริโยสานากัลยาณัง งามในที่สุด งามในที่แล้ว(ที่สุด)แห่งศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธบาท ๔ รอยนี้ จักเจริญรุ่งเรืองงามในท่ามกลางศาสนาจริงแล ฯ

“ ดังนั้น ก็นับว่าพระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ เป็นที่สักการะบูชามาช้านานถ้าหากว่าผู้ใดมีจิตศรัทธ าที่จะขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย ก็ควรที่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ ้า

      เมื่อไปถึงแล้ว ก็ควรที่จะสำรวมกาย วาจา ใจ ให้มันเป็นปกติ ก็ชื่อว่ารักษาศีล ก็ทำให้เกิดสมาธิ ให้มีจิตใจที่ตั้งมั่น ทำให้เกิดปัญญา และจักได้ชื่อว่าเจริญตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค ์อย่างแท้จริงการที่มีคนศรัทธาเดินทางขึ้นไปกราบนมัส การรอยพระพุทธบาท ก็เหมือนกับว่ามีดวงจิต ดวงใจ อยู่ในสมาธิ ภาวนา
        มีพุทธานุสติเกิดขึ้นในจิตใจ และประกอบไปด้วยความศรัทธาและความเพียร ขันติ ความอดทนการที่จะขึ้นไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ถนนหนทางไม่สู้จะสะดวกเท่าไร เป็นทางขึ้นเขา ทางเดินแคบขึ้นได้สะดวกก็ช่วงฤดูแล้ง ช่วงฤดูฝนก็ลำบาก จึงเป็นการวัดถึงจิตใจของพุทธศาสนิกชน ว่าจะมีคนที่ศรัทธา และวิริยะ ที่จะขึ้นไปเพื่อกราบไหว้และสักการะเพียงใด ถ้าหากว่าใคร ได้ไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็นับว่าเป็นศิริมงคล และจะได้รับผลานิสงส์เป็นอย่างมาก……………..

ดังนั้น ขอให้พุทธบริษัททั้งหลาย ที่ได้มากราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยแล้ว
หรือผู้ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ พระพุทธบาทสี่รอยแล้ว
ก็ใคร่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า การที่พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์เสด็จมาประทับรอยพระ บาทไว้ที่นี้

ก็เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย เพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน ดังนั้นการที่เราได้กราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ด้วยเครื่องสักการะบูชา มีดอกไม้ ธูป เทียน

ก็ยังไม่ได้เจริญตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์ทรงมุ่งหวังให้เราทั้งหลาย เจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ ภาวนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พ้น จากกองทุกข์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการเจริญสมาธินั้น พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่ามีอานิสงส์กว่าการให้ทาน ซึ่งเป็นหนทางสู่มรรค ผลนิพพาน โดยแท้จริง……………..

วาระสุดท้ายนี้ ท่านผู้ใดที่ได้อ่านประวัติความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอยนี้แล้ว กรุณาใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ และให้ถึงศรัทธาในดวงจิต ดวงใจให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหล ายที่เดินทางขึ้นมา กราบพระพุทธบาทสี่รอยอาตมาขอให้ท่านทั้งหลาย ที่ได้เดินทางมากราบพระพุทธบาทสี่รอยแล้ว หรือได้อ่านประวัติพระพุทธบาทสี่รอย จงประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าในทาน ศีล ภาวนา มีปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่ พ้นจากกิเลส กองทุกข์ทั้งหลาย จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ….สาธุ………….

พระพรชัย ปิยะวัณโณ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาท ๔ รอย


คำไหว้พระพุทธบาทสี่รอย

“สาธุ โกสัมพิยัง อะวิทูเร เวภาระปัพพะเต กะกุสันโธ……………….

โกนาคะมะโน กัสสะโป โคตะโม……………


ปาทะเจติยัง ชินะธาตุ จะฐะเปตวา อะหัง วันทามิ ทูระโต “

รูปพระพุทธบาท ๔ รอย

รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมา แล้ว ในภัทรกัปป์นี้คือ……..
รอยแรก……..รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
รอยที่ ๒………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
รอยที่ ๓………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
รอยที่ ๔………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตมะ

        ด้วยอานิสงส์แห่งบุญบารมีในการเผยแพร่ประวัติความเป็นมาของพระพุทธบาท ๔ รอยและพระพุทธธรรมต่างๆ เพื่อเป็นธรรมทาน ในเว็บไซต์แห่งนี้ คณะผู้จัดทำขออุทิศบุญกุศลถวายแด่….พระพุทธเจ้าทุกๆพ ระองค์ พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันตเจ้าทุกๆพระองค์……


         คุณบิดา มารดา ทุกภพทุกชาติ คุณครูอุปัชฌาจารย์ทุกภพทุกชาติ เจ้ากรรมนายเวร โรคกรรม โรคเวรทุกภพทุกชาติ ตลอดจนถวายเป็นพระราชกุศลแด่บูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้ าของไทยทุกๆพระองค์ พระสยามเทวาธิราช ขุนศึก นักรบที่ต่อสู้ป้องกันเพื่อรักษาชาติไทยตั้งแต่โบราณ กาลถึงปัจจุบันทุกๆคน รวมทั้งเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย……..ขอให้ทุกท่านได้ถึงซึ่ง มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตามความปรารถนาทุกประการ เทอญ…….นิพพานะ ปัจจโย โหตุ สาธุ ๆ ๆ………..  สาธุ อนุโมทามิ  อนุโมทนาสาธุ

หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา  ( ท่านปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ) สอนไว้ว่า…..อย่าประมาท
เราเป็นผู้กระทำบุญ แสวงหาสุขภายหน้า……………… เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ฉะนี้แล้ว อย่าให้เสียเวลา…………….
ควรเร่งกระทำบุญ ไปตามเวลา กาละอันควร……………
บ่ควรจักอ้างว่า……..ตัวนี้หนุ่มอยู่ ปล่อยมันเฒ่า มันแก่เสียก่อนค่อยทำ…………
จะว่าอย่างนั้นก็บ่ควร………………
อันความตายแห่งคนทั้งหลาย มันบ่แน่ ควรพิจารณาให้ดีๆ…………

ครั้นว่า เจตนามี เราควรเร่งกระทำเสียเมื่อยามหนุ่มนี้ ประเสริฐแล……………..

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://board.palungjit.com/f8/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2-245564.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น