วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแต่ละครั้ง นานมาก พึงรีบนำธรรมะมาปฏิบัติให้พ้นทุกข์กันเถิด




สร้างบารมีในช่วงเศษแสนมหากัป

     หลังจากศาสนาของพระนารทะพุทธเจ้าไปแล้ว
ก็เป็น สูญอสงไขย ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเลยในหนึ่งอสงไขย
เมื่อขึ้นต้นอสงไขยใหม่หรืออยู่ในเศษแสนมหากัป
ที่พระนิยตโพธิสัตว์เพียรส้รางบารมี เป็น สารกัป
คือเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ เพียง 1 พระองค์เท่านั้น
สมัยพระปทุมมุตระพุทธเจ้า

ในคราวนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นนายบ้านชื่อ ชฏิล
ต่อมาได้ออกบวชเป็นดาบส มีตบะเดชอันเชียวชาญ เมื่อได้พบพระพุทธองค์
บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก ได้ทำการถวายทานกับพระภิกษุสงฆ์
อันมีพระปทุมมุตระพุทธเจ้า เป็นประธาน
เมื่อสมเด็จพระปทุมมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสวยภัตตาหาร
และทรงแสดงอนุโมทนากถาแล้ว จึงตรัสพุทธพยาการณ์ว่า

"ชฏิลดาบสผู้นี้ นานไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัป อันจะมีในที่สุดหนึ่งแสนมหากัป"

หลังจากนั้นชฏิลดาบสก็เพียรพยายามสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้นไป
แล้วเวียนเกิดเวียนตายอีกนานแสนนาน -----------------------

เมื่อพระศาสนาของพระปทุมมุตระหมดสิ้นไปแล้ว ก็เป็นสูญกัปถึง 30,000 กัปทีเดียว
จึงมี มัณฑกัป บังเกิดขึ้น เป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
คือ พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ในคราวนั้นนิยตโพธิสัตว์ ได้เกิดเป็นมานพหนุ่ม นาวว่า อุตตรมานพ
มีสมบัติมากมายมหาศาลและบริวารจำนวณมากมาย
วันหนึ่งได้มีโอกาสพบพระพุทธองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนา บังเกิดเลื่อมใสศรัทธา
จึงบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่แก่พระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
และภายหลัง จึงสละเพศฆราวาสวิสัย ออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
ครานั้น พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"อุตตรภิกษุนี้ นานไปเบื้องหน้าในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

หลังจากนั้นอุตตรภิกษุ ก็ได้เพียรสร้างบารมีต่อไป
แล้วเวียนเกิดเวียนตายอยู่หลายชาติ นับได้หนึ่งพุทธันดร ...........

สมัยพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า(2)
ในคราวนั้น พระนิยตโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็น พระบรมจักรพรรดิ
ทรงมีอำนาจแผ่ไปใน 4 ทวีป เมื่อได้ฟังข่าวว่าพระสุชาตะพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก
ทรงมีปีติยินดีเป็นยิ่งหนัก เมื่อทรงได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์
ทรงมีศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงถวายทานอันยิ่งใหญ่ และเป็นเลิศแก่พระภิกษุ
โดยมีพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานเป็นนิจ
แล้วหลังจากนั้นพระองค์ ทรงสละราชสมบัติออกบวชเป็นพระภิกษุ
ดังนั้นชาวเมื่องต่าง นำเครื่องราชบรรณาการต่างๆ ถวายพระองค์ให้เป็นของสงฆ์
สร้างเป็นอารามใหญ่ แล้วทำการฉลองถวายทานอย่างยิ่งใหญ่
ชึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ในคราหนึ่งพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระบรมจักรพรรดิภิกษุนี้ ต่อไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

หลังจากนั้นพระบรมจักรพรรดิภิกษุโพธิสัตว์ ก็หมั่นเพียรสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้น
ศึกษาในพระปริยัติธรรม และบำเพ็ญพระกรรมฐาน จนสิ้นสวรรคต
ก็เวียนเกิดเวียนตายอีกนานแสนนาน ----------------

เป็นสูญกัปไปอีกนาน ถึง 60,000 กว่ากัป ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
จนถึง วรกัป เกิดขึ้น มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 3 พระองค์
พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(1) ในสมัยนั้นพระนิยตโพธิสัตว์
ได้กำเนิดในตระกุลพราหมณ์ มีนามว่า กัสสปะมานพ เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า
และฟังพระธรรมเทศนา ก็มีความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก
หลังจากนั้นได้ถวายทานและสร้างอารามแด่พระภิกษุสงฆ์
โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยทรัพย์สินจำนวนมากมาย
บัดนั้นพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"กัสสะปะมานพผู้นี้ ต่อไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

กัสสะปะมานพมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็หมั่นเพียรสร้างสมบารมียิ่งขึ้น
จนสิ้นอายุขัย ก็เวียนเกิดตายอีกหลายชาติ ในหนึ่งพุทธันดร ----------------

สมัยพระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ในคราวนั้นพระนิยตโพธิสัตว์กำเนิด
ในตะกุลพราหมณ์มหาศาล นามว่า สุสิมะพราหมณ์ ในภายหลังมีใจที่จะออกบวช
จึงสละทรัพย์ที่มีอยู่ออกบวช เป็นดาษส บำเพ็ญพรตจนบรรลุอภิญญาสมาบัติ
มีมหิทธาศักดานุภาพมาก ท่องเที่ยวไปในสวรรค์สองชั้นฟ้า
คือชั้น จาตุ และดาวดึงส์ และได้นำเอาลายลักษณ์พระพุทธบาทมาทำเป็น
พระพุทธบาทเจดีย์ เป็นที่บูชาของ ของปวงชน
เมื่อพระอัตถทัสสีพุทธเจ้าอุบัติขึ้น วันหนึ่ง สุสิมะมหาฤาษีได้มีโอกาศฟังธรรม
จากพระพุทธองค์ แล้วเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง จึงได้เหาะไปยังเทวโลก
เอาดอกไม้ทิพย์ต่างๆ มาโปรยให้ตกลงมาเป็นการบูชา
แล้วเอาดอกไม้ทิพย์ดอกใหญ่ ถือทำเป็นฉัตรบูชาพระพุทธองค์
ที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเทศนาจบลง
จึงตรัสพุทธพยากรณ์แก่สุสิมะฤาษีว่า

"สุสิมะมหาฤาษีผู้นี้ ต่อไปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมนุโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง"

สุสิมะมหาฤาษีมีจิตปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงเพียรสร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เมื่อสิ้นอายุไขยก็ไปเกิดบนพรหมโลก ------------------------------

สมัยพระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(3) ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็น
องค์อัมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ พระองค์ได้นำเทพบริวาร
เสด็จลงจากวิมาน มาบูชาสมเด็จพระธรรมทัศสีพุทธเจ้า ในสมัยประชุมใหญ่
แห่งปวงเทวดา ใน ณ ที่นั้นพระธรรมทัสสีพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ว่า

"สมเด็จพระอัมรินทรเทวาราชนี้ นานไปในอนาคต
จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"
พระอินทร์ได้ทราบดังนั้นก็มีจิตใจยินดีเป็นล้นพ้น แล้วเพียรสร้างบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
หลังจากนั้นก็เวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน -----------------

กาลเวลา เป็นสูญกัป ถึง 24 กัป ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น แล้วก็บังเกิดเป็น
สารกัป คือมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 1 พระองค์
สมัยพระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ถือกำเนิด
ในตระกุลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า มังคะมาณพ
ภายหลังได้สละทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น ออกบวชเป็น ดาษส
ก็ได้สำเร็จอภิญญาฌานสมาบัติ วันหนึงได้เหาะไปฟังธรรม
ในสำนักพระสิทธัตถะพุทธเจ้า ด้วยมีความศรัทธาเป็นอันมาก
จึงได้เหาะไปในป่าหิมพานต์ แล้วเลือกเอาผลชมพู่ลูกหว้า
มาถวายพระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุสงฆ์
คราวนั้นพระสิทธัตถะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"ท่านมังคะดาบสนี้ นานไปในอนาคต 94 มหากัปต่อจากนี้ไป
จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระนามว่า
พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง"

เมื่อมังคะดาษสได้รับทราบดังนั้นจึงมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เพียรสร้างบารมีต่อไป แล้วเกิดตายอีกหลายชาติ ----------------------

เมื่อเริ่มกัปใหม่ก็เป็นสูญญกัป แต่กัปต่อมานับว่าเป็นบุญของหมู่ประชาสัตว์
เป็น มัณฑกัป ซึงมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ในกาลนั้น พระนิยตโพธิสัตว์กำเนิดในตรกูลกษัตริย์
ได้ครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสุชาตะมหาราช ภายหลังพระองค์ทรง
เบื่อหน่ายราชสมบัติ จึงได้สละราชสมบัติ ออกบวชเป็น ดาบส อยู่ในป่าใหญ่
ทรงบรรลุถึงฝั่ง อภิญญา วันหนึ่งสุชาตะดาบส ได้มีโอกาส
ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
จึงเหาะไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เก็บดอกไม้ทิยพ์อันมากมาย
ด้วยอำนาจฌานวิสัย แล้วทำการสักระบูชาแด่องค์พระติสสะพุทธเจ้า
ซึ่งกำลังเทศนาอยู่ เมื่อพระองค์ทรงเทศนาจบ ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระสุชาตะดาบสนี้ ต่อไปในอนาคต 92 มหากัป
ต่อจากนี้ไป จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัป
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

พระสุชาตะดาบส เมื่อทราบดังนั้นก็มีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ก็ทรงสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้น จนสิ้นอายุขัย ก็เวียนเกิดตายอยู่ หนึ่งพุทธันดร ------------

สมัยพระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์
กำเนิดในตระกุลกษัตริย์ ได้ครองราชทรงพระนามว่า พระเจ้าวิชิตราชา
วันหนึ่งเมื่อพระองค์ได้ทรงทราบว่า พระมหาปุสสะพุทธเจ้าตรงอุบัติขึ้น
พระองค์ทรงเสด็จเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า เมื่อได้ทรงสดับพระธรรมจากพุทธองค์
พระวิชิตราชา ก็ทรงสละราชสมบัติทังหมด ออกบวชเป็นพระภิกษุ
ทรงศึกษาพระไตรปีฏกจนแตกฉาน แสดงธรรมได้คล่องแคล้วยิ่งนัก
ในครานั้น พรมหาปุสสะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระวิชิตภิกษุพระองค์นี้ ต่อไปในอนาคต 92 มหากัป
ต่อจากนี้ไป จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัป
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

พระวิชิตภิกษุ ก็สร้างบามีต่อไป แล้วเวียนเกิดตาย ไปอีกนาน ....

สมัยพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์กำเนิดเป็นาคราช
ทรงพระนามว่า ภุชงคนาคราช มีนาคบริวารมากมาย เมื่อได้ทราบข่าวว่า
พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลก ก็มีความเลื่อมใส
จึงพาเหล่าบริวาร และเนรมิตมณฑปใหญ่ อาราธนา
พระพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวก มาอาศัยแล้วถวายภัตตาหาร
หลังจากนั้นพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พญาภุชงนาคราชนี้ นานไป 91 มหากัป แต่กาลนี้ไป
จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

ภุชงนาคราช เมื่อได้สดับฟัง ก็มีใจยินดีศรัทธาเป็นยิ่งนัก
สร้างสมอบรมบารมีต่อไป เวียนเกิดตาย อีกนานแสนนาน....

หลังจากนั้นกาลเวลาเป็นสูญกัปถึง 60 มหากัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
แล้วก็ปรากฏเป็น มัณฑกัป ซึ่งมีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น 2 พระองค์
พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ กำเนิดเป็น พระเจ้าอรินทมะราชาธิราช
ปกครองราชสมบัติ วันหนึ่งทรงมีโอกาศ ได้พบกับพระสิขีพุทธเจ้า
พระเจ้าอรินทมะราชา ทรงศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงทรงบริจาคมหาทาน
แด่เหล่าพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ในครานั้น พระสิขีพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระเจ้าอรินทมะมหาราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ 31 มหากัป
จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

พระเจ้าอรินทมะมหาราช เมื่อได้สดับฟัง ก็เกิดความยินดีปรีดาเป็นนักหนา
ตั้งพระทัยอุตสาหะสร้างสมอบรมบ่มบารมีต่อไป
เกิดตายอีกหลายชาติ ไปหนึ่งพุทธันดร -----------------------------

สมัยพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า(2)
ในกาลนั้น พระนิยตโพธิสัตว์ ได้เสวายราชสมบัติ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าสุทัสสนะมหาราช เมื่อพระองค์ได้ข่าวว่า
พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบังเกิดขึ้นในโลก พระองค์ทรงปีติ
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำเนินไปเฝ้าพระพุทธเจ้าบังเกิดศรัทธา
เป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพระองค์ทรงประกอบมหาทานเป็นอย่างมาก
แล้วทรงสละราชสมบัติ ออกบวชเป็นพระภิกษุ ศึกษาพระไตรปิฏก
จนแตกฉาน ในครานั้นพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระสุทัสสนะภิกษุ นานไปในอนาคติอีก 31 มหากัป
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปนั้น"

หลังจากนันพระสุทัสสนะภิกษุก็ เพียรสร้างบารมีในพุทธภูมิ
ให้เต็มเปลียมบริบูรณ์ขึ้น แล้วเวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน ----------------------

ต่อจากมหากัปนั้นมาก็เป็น สูญกัป ถึง 30 มหากัป แล้วก็มาถึงกัปที่สำคัญ
ของพระนิยตโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และเป็นภัทรกัป
คือมีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ ซึ่งเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้ามากที่สุด
เพราะตั้งแต่ 4 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป
ก็มีเพี่ยงกัปนี้กัปเดียวที่มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ
พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ และที่กล่าวถึงนี้คือ
พระโพธิสัตว์อดีดชาติของพระองค์ และพระศรีอริยเมตไตรย
สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะตรัสรู้ในอนาคตในกัปนี้

สมัยพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้าเขมะราชาธิราช
เป็นพระราชาปกครองประเทศ เมื่อพระองค์ได้ทรงพบ พระกกุสันธะพุทธเจ้า
พระองค์ทรงศรัทธาอย่างยิ่ง ทรงหมั่นฟังธรรมถวายมหาทานเป็นประจำ
ในที่สุดพระองค์ทรงออกบวชในพระพุทธศาสนา ศึกษาจนแตกฉาน
ในพระธรรม เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
กาลวันหนึ่งพระกกุสันธะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระเขมราชภิกษุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้
เป็นลำดับองค์ที่ 4 มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ก็สร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
จนอายุขัยประมาณ 40,000 ปี ก็ เวียนเกิดตาย อยู่ 1 พุทธันดร -----------

พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
พระเจ้าบรรพตบรมราชา เป็นพระราชาปกครองประเทศ เมื่อพระองค์ได้ทรงพบ
พระโกนาคมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก
ทรงสละราชสมบัติออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
ทรงศึกษาพระไตรปีฏกจนแตกฉาน เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
กาลวันหนึ่งพระโกนาคมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระบรรพตบรมราชาภิกษุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในภัทรกัปนี้ เป็นลำดับองค์ที่ 4 หลังจากตถาคตไปองค์ที่ 2
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ก็สร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
จนอายุขัยประมาณ 30,000 ปี ก็ เวียนเกิดตาย อยู่ 1 พุทธันดร ----------------

สมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า(3)
ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น บุตรของพราหมณ์มหาศาล
มีนามว่า โชติปาลมานพ
ได้ศึกษาจบไตรเภท มีสหายนามว่า
ฆฏิการมานพ เป็นนายช่างทำหม้อ ฆฏิการมานพกล่าวชวน
โชติปาลมานพ ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ถึง 3 ครั้ง 2 ครั้งแรก
โชติปาลมานพไม่ยอมไป แล้วกล่าวทำนองว่า

"การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นของยาก และการที่มีผู้อวดอ้างว่า
เป็นพระพุทธเจ้า เราหาเชื่อไม่"

ในครั้งที่ 3 ฆฏิการมานพซึ่งบรรลุเป็นพระอนาคามี
จำเป็นต้องจับศรีษะโชติปาลมานพ แล้วกล่าวชวนอีกครั้ง
โชติปาลมานพมีความแปลกใจ ในพฤติกรรมของเพื่อน จึงยอมไปดู
เมื่อได้ฟังธรรมจากพระกัสสปะพุทธเจ้า จึงมีศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
ออกบวชในพุทธศาสนาทันที ศึกษาพระไตรปิฏกจนแตกฉาน
เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
ครานั้น พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระโชติปาลภิกขุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้
เป็นลำดับองคที่ 4 หลังจากตถาคต ในเบื้องหน้า
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

หลังจากนั้นพระโชติปาลภิกษุ ก็อบรมบ่มบารมีจนอายุขัย
ประมาณ 20,000 ปี ก็สิ้นอายุขัย ไปจุติเป็นเทพยดkบนดาวดึงส
เทวโลก เป็นองค์อมรินทร์ปกครองเหล่าเทวดา ดาวดึงส์เทวโลก
แล้วทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาเมื่อมีความจำเป็น จนสิ้นศาสนา
ของพระกัสสปะพุทธเจ้า อายุไขยของมนุษย์ลดลง 1 ปีในทุก 100 ปี
จากอายุ 20,000 ปี จนอายุไขยมนุษย์อยู่ที่ 120 ปี พระอินทร์โพธิสัตว์
ก็ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ มีพระนามว่า พระเวสสันดรโพธิสัตว์
ทรงบำเพ็ญ มหาทานเป็นชาติสุดท้าย หลังจากสิ้นพระชนม์
ก็ได้ไปจุติเป็นเทพยดา บนชั้นดุสิตเทวโลก มีพระนามว่า
พระเสตุเกตุเพพบุตร เสวยทิย์สมบัติ จนพระชนมายุได้ 4,000 ปีทิพย์
อันเป็นประเพณีของพระมหาโพธิสัตว์
ก่อนที่จุติบนโลกมนุษย์ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ขณะที่เสวยสุขบนดุสิตเทวโลก
ต้องเสวยสุข จนครบ อายุไขย คือ 4,000 ปีทิพย์ นับได้ 576 ล้านปีโลกมนุษย์
แล้วเหล่าเทพเทวดาทั่งทั้งหมื่นโลกธาตุ ก็ทรงอัญเชิญพระองค์ ให้จุติเป็นมนุษย์
เพื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทรงคุณอันมหาศาล รื้อขนสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏฎะสงสาร


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/f13/ooo-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9B-ooo-24214.html 


ไตรสิกขา

    พระองค์ก็ทรงสอนด้วยว่า   เราเกิดมาเพื่อ  ศึกษา “ไตรสิกขา” ศึกษาเพื่อที่ จะพัฒนาชีวิตจิตใจ และสติปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเพื่อ ความดับทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุได้

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/44066



ไตรสิกขา แปลว่า สิกขา 3 หมายถึงข้อสำหรับศึกษา, การศึกษาข้อปฏิบัติที่พึงศึกษา, การฝึกฝนอบรมตนในเรื่องที่พึงศึกษา 3 อย่างคือ  ศีล สมาธิ ปัญญา
  1. อธิสีลสิกขา คือศึกษาเรื่องศีล อบรมปฏิบัติให้ถูกต้องดีงาม ให้ถูกต้องตามหลักจุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลัก มัชฌิมศีล และมหาศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลักอินทรียสังวร สติสัมปชัญญะ และสันโดษ
  2. อธิจิตตสิกขา คือศึกษาเรื่องจิต อบรมจิตให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิ ได้แก่การบำเพ็ญสมถกรรมฐานของผู้สมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์จนได้บรรลุฌาน 4
  3. อธิปัญญาสิกขา คือศึกษาเรื่องปัญญาอบรมตนให้เกิดปัญญาแจ่มแจ้ง ได้แก่การบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานของผู้ได้ฌานแล้วจนได้บรรลุวิชชา 8 คือเป็นพระอรหันต์
 ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2

ผู้ปรารถนาพ้นทุกข์ พึงนำมาศึกษาปฏิบัติกันเถิด 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น