วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มหาศิลาเปรต และ เวลาที่นานแสนนานกว่าจะได้กลับเป็นภูมิมนุษย์อีกครั้ง

         เรื่องนี้ มีข้อคิดให้คนเราควรเร่งความเพียร ให้พ้นทุกข์เข้าสู่นิพพานโดยเร็ว เพราะถ้าเผลอใจทำผิด อาจจะต้องตกนรกนานแสนนานแล้วเป็นเปรตอีกนานแสนนาน แล้วเกิดเป็นคนถ้าไม่เร่ง ทำบุญสร้างกุศล ทานศีลภาวนา ปฏิบัติตามมรรค 8 ให้พ้นทุกข์ อาจเกิดในที่ไม่มีพุทธศาสนา หรืออาจไม่ได้เกิดเป็นคนอีกนานแสนนาน  ดังที่พระท่านเทศน์เสมอว่า เกิดเป็นคนแสนยาก เกิดเป็นคนแล้วมีอาการครบ 32 ประการ ก็ยากอีก และเกิดพบพระพุทธศาสนาก็ยากอีก ขอให้ทุกท่านลองคิดพิจารณาดูเถิด มันน่ากลัวเพียงใด ถ้าหลุดไปอบายภูมิ  ( นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ) เข้าให้ละก็......................นึกสภาพไม่ออกเลยครับ ต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะได้ มาเป็นคน มีอาการครบ32 และได้พบพระพุทธศาสนาอีก.....................


เปิดตำนาน มหาศิลาเปรต พระพุทธบาทสี่รอย

อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ฉบับล้านนาไทย

ความเป็นมาของมหาศิลาเปรต

            ในช่วงสมัยหนึ่งได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า” เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ล่วงพ้นวัฏฏสงสาร เฉกเช่นเดียวกับ
พระสมณะโคดมพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันสมัยนี้………………


ในครั้งนั้น ยังมีพระสาวกองค์หนึ่งในพระวิปัสสีพุทธเจ้า มีฐานะเป็นพระสังฆนายก
ปกครองพระภิกษุเถรานุเถระเป็นจำนวนมาก แต่พระสังฆนายกองค์นี้ กลับแสวงหาปัจจัยทั้งสี่ อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานะปัจจัยมากเกินสมควรได้มีคำสั่งออกไปทั่ว สังฆมณฑลว่า “วัดของเรานี้ ไม่เหมือนวัดอื่นๆด้วยเป็นที่ชุมนุมของพระมหาเถระเจ้าทั้งหลาย อยู่เนืองนิตย์

ฉะนั้น ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงนำเอาปัจจัยสี่ อันเป็นของสงฆ์ทั้งหลาย อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานะปัจจัย รวมทั้งแก้วแหวนเงินทองทั้งปวง มาให้แก่วัดเรา เพื่อว่าเราจะได้นำมาถวายทาน แก่พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายต่อไป” เมื่อพระภิกษุทั้งหลาย ได้รับคำสั่งของพระสังฆนายกดังนี้แล้ว


ต่างก็ล้วนลำบากใจ แต่ไม่กล้าทักท้วงคัดค้าน ด้วยเกรงจะมีความผิด คงได้แต่จำใจนำของมามอบให้ ที่วัดของพระสังฆนายกจนเต็มโบสถ์ เต็มวิหารไปหมด ท้ายที่สุด เมื่อพระสังฆนายกองค์นั้นได้มรณภาพลงไปแล้ว ก็ได้ตกนรกจมลงไปหมกไหม้อยู่ในอบายภูมิทั้ง ๔ ตลอดกาลนาน ด้วยผลกรรมที่ได้เบียดเบียนพระสงฆ์ทั้งหลาย ให้ต้องได้รับความลำบาก เมื่อชดใช้กรรมในนรกแล้ว อดีตพระสังฆนายกองค์นั้น ก็ได้เกิดมาเป็นเปรต มีนามว่า
“มหาศิลาหลวงใหญ่”(เปรตหิน) พูดวาจาใดๆไม่ได้ ด้วยสรีระกลายเป็นหิน


พระพุทธเจ้ากกุสันโธ เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
          นับตั้งแต่ " สมัยนั้น " เป็นต้นมา จนกาลเวลาได้ล่วงเลยมาถึง ๙๒ กัป ลุถึงสมัย “พระพุทธเจ้ากกุสันโธ”ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ในมหาภัทรกัปป์นี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรตแล้ว
จึงทรงประทับรอยพระบาทไว้เหนือก้อนหินมหาศิลาเปรตนั้นเป็นรอยแรก และทรงมีพระมหากรุณาตรัสสอนมหาศิลาเปรต
และให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะกิจ โจ อัปปะกิจ โจ” ซึ่งหมายถึง เป็นนักบวชควรทำตนเป็นผู้มีภาระน้อย เพราะการมีภาระมาก ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผลนิพพาน จะกลายเป็นมารมาผูกมัดจิตใจทำให้ตนต้องไปตกอยู่ในอบายภูมิ 

พระพุทธเจ้าโกนาคมโน เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
         ภายหลังที่พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็มาถึงสมัยของ “พระพุทธเจ้าโกนาคมโน”
พระองค์ก็ได้เสด็จมาที่มหาศิลาเปรต และได้ตรัสสอนมหาศิลาเปรต ให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “สัลละหุ กะวุตติ “
ไปตลอด จะได้หลุดพ้นจากความเป็นเปรตในภายภาคหน้า จากนั้น พระพุทธเจ้าโกนาคมโน
ก็ได้ทรงประทับรอยพระบาทซ้อนไว้ในรอยพระบาทของพระพุท ธเจ้ากกุสันโธ เป็นรอยที่ ๒
(ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยที่ ๑ )


พระพุทธเจ้ากัสสโป เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
             ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโน ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็มาถึงสมัยพระพุทธเจ้ากัสสโป ซึ่งพระองค์ก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต ด้วยเหตุผล ๒ ประการ
คือเพื่อทรงชี้แนวทางตรงไปสู่พระนิพพานหนึ่ง และเพื่อให้มหาศิลาเปรตนั้น
พ้นจากปิตติวิสัย(แดนของเปรต)อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้ากัสสโป จึงเสด็จมาโปรดที่มหาศิลาเปรต เป็นพระองค์ที่ ๓ และได้ทรงมีพระพุทธดำรัส ตรัสชี้แนะให้มหาศิลาเปรตนั้น
ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะคัพโภ อัปปะคัพโภ” ด้วยทรงมีพระมหากรุณาให้พ้นจากความเป็นหิน
แล้วจึงได้ทรงประทับรอยพระบาท ซ้อนไว้ในรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 2 พระองค์ ปรากฏเป็นรอยที่ ๓
ขึ้นมา(ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยพระพุทธบาททั้ง ๒ รอย)


พระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบัน) เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
ภายหลังจากที่ “พระพุทธเจ้ากัสสโป” ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
ก็มาถึงพุทธสมัยแห่งพระศาสนาของ”พระพุทธเจ้าโคตโม”(พระสมณะโคดม) ได้เสด็จจาริกประกาศธรรมโปรดเวไนยสัตว์ไปตามสถานที่ต่างๆพร้อมด้วยพุทธสาวก ๕๐๐ องค์ มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอานนท์เป็นต้น

จนกระทั่งเสด็จมายังปัจจันตประเทศ(ประเทศไทยมนปัจจุบ ัน) ถึงเทือกเขาตอนเหนือของประเทศ ชื่อเวภารบรรพต(สถานที่แห่งนี้) และได้แวะเสวยจังหัน อยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้

เมื่อพระพุทธองค์เสวยจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั่น ก็ได้ทรงทราบด้วยพระญาณสมาบัติ
ว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ก่อนใน ภัทรกัปป์นี้ ประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ พระองค์ก็ทรงเล็งดู รอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ

พระพุทธเจ้ากกุสันโธ,พระพุทธเจ้าโกนาคมโน,พระพุทธเจ้ ากัสสโป……………
ในวาระนั้น พระพุทธเจ้าโคตโม ได้มีพระพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า
“ดูกรอานนท์ ก้อนศิลาอันงามวิเศษ ที่เป็นเหตุโปรดสัตว์ทั้งหลายยังปรากฏมีอยู่ฤๅ”
พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก จึงกราบทูลว่า

“ภันเต ภะคะวา ก้อนหินนี้ มีรอยพระพุทธบาทใหญ่ ๓รอย งดงามยิ่งนัก เหมือนรอยพระพุทธบาทของพระศาสดาพระพุทธเจ้าข้า “
จากนั้น พระพุทธเจ้าโคตโม จึงได้ตรัสถึงอดีตกาลที่ได้ผ่านมาแล้วแต่ปางบรรพ์ประ ทานแก่พระอานนท์และพุทธสาวก ว่า……………


“ดูกรอานนท์ ก้อนศิลานี้มิใช่ศิลาแท้จริงดอก แต่เป็นก้อนอสุรา ที่กลับกลายเป็นก้อนศิลา(เป็นศิลาเปรต) ศิลานี้เคยเป็นพุทธสาวกในพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี สมัยนั้นท่านเป็นพระสังฆนายก ถืออำนาจบาตรใหญ่ บังคับเอาของของคนอื่นมาเป็นของตน ตนเองเป็นพระภิกษุ แต่มักมาก

ถือว่าตนเองฉลาดคิดว่าตนเองได้ของมาโดยบริสุทธิ์ โดยมิได้คำนึงถึงความผิดถูกตามพระธรรมวินัยถือว่าตนเองเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าแลเป็นใหญ่ เอาของของสงฆ์มาใช้ตามอำเภอใจ จึงทำให้เกิดเป็นศิลาเปรตอยู่ในบัดนี้ พระพุทธเจ้าทั้ง ๓พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ ทุกพระองค์

และแม้พระศรีอริยเมตไตรย ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ และจักประทับรอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว(คือประทับลบทั้งสี่รอยให้เหลือรอยเดียว)……….
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแก้สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว

พระองค์ก็เสด็จประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ แล้วก็ทรงอธิษฐานว่า ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลาย ก็จักนำเอาพระธาตุ ของตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้ ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ก็จักปรากฏแก่ปวงมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เพื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย จักได้มากราบไหว้และสักการะบูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้ว จึงมีรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์

จึงกำเนิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอย………………
เมื่อพระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทแล้ว ก็เสด็จไปเชตวันอาราม อันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล


เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลาย ก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที ่พระพุทธบาทสี่รอย และเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ วัสสา (ปี)

เทวดาทั้งหลายต้องการให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลาย ตามที่พระองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้ง(เหยี่ยว)ตัวใหญ่ บินลงมาจากเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ ไปจับลูกไก่ของชาวบ้าน(พรานป่า)ที่อาศัยอยู่เชิงเขาเวภารบรรพต แล้วบินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขาพรานป่าโกรธมาก จึงติดตามขึ้นไป คิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นอีก เห็นแต่รอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นจึงทำการสักการะบูชา เสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้าน ก็บอกเล่าแก่ชาวบ้านทั้งหลาย

คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชา และเรียกขานพระพุทธบาทนั้นว่า พระบาทรังรุ้ง(รังเหยี่ยว)……………

บูรพมหากษัตริย์ในอดีตของล้านนาและเชื้อพระวงศ์และบูรพมหากษัตริย์ของไทย
ที่เคยเสด็จไปกราบไหว้และสักการะบูชารอยพระพุทธบาทสี่รอย…………..


ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาประสงค์จะเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอย ครั้นแล้วได้เสด็จพร้อมด้วยพระราชเทวีและเสนาอมาตย์พ ร้อมกับบริวารทั้งหลาย และเมื่อทรงกราบนมัสการเสร็จแล้ว พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวีและบริวารทั้งหลาย จึงเสด็จกลับสู่เมืองเชียงใหม่ เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยน(สิ้น)อายุขัยแล้ว พระโอรสและพระนัดดา ที่สืบราชสมบัติต่อมา ก็เจริญรอยตามพระยุคลบาท ได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาททั้งสี่รอยทุกๆพระองค์ หลังจากนั้นมา พระบาทรังรุ้ง หรือ รังเหยี่ยว นี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “พระพุทธบาทสี่รอย “…………..
__________________


มาในสมัยยุคหลัง คนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่า พระพุทธบาทสี่รอย
เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย
คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมาแล้ว ในภัทรกัปป์นี้ คือ
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ซึ่งเป็นรอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว ๑๒ ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมโน เป็นรอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสโป เป็นรอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ ๔ รอยเล็กสุด ยาว ๔ ศอก
เมื่อมาถึงพระยาธรรมช้างเผือก
ผู้ครองนครเมืองเชียงใหม่พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ก็เสด็จขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาทสี่รอยและได้ สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิม
ถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทสี่รอยบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไปดู ซึ่งก็คงขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้น พระยาธรรมช้างเผือก จึงรับสั่งให้สร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้าน รอบๆก้อนหินที่มีพระพุทธบาทสี่รอยเพื่อที่ผู้หญิงจะไ ด้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วยและได้สร้างหลังคาชั่วคราว มุ งไว้…………..

ต่อมาพระชายาเจ้าดารารัศมีได้เสด็จขึ้นไปกราบนมัสการ พระพุทธบาทสี่รอย และได้มีศรัทธาก่อสร้างวิหารเพื่อเป็นการสักการะบูชา รอยพระพุทธบาทไว้ ๑ หลัง หลังเล็ก ถวายเป็นพุทธบูชา ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้ว ทั้งหลังจะเหลือไว้แต่ผนังวิหาร พื้นวิหาร
และแท่นพระซึ่งยังเป็นของเดิมอยู่ ถ้าหากท่านใดมีโอกาสขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย

ก็จะเห็นวิหารแห่งนี้…………….
นอกจากนี้ หลักฐานในกาลวัตถุที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่ง
ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือโบราณ ”คำให้การของขุนหลวงหาวัด”
ซึ่งเป็นหนังสือบันทึกเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยาตั้ง แต่ต้นจนอวสาน ที่พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่า


มีพระบัญชาให้อาลักษณ์บันทึกจากถ้อยรับสั่งของเจ้าฟ้ าอุทุมพร(ขุนหลวงหาวัด)
ภายหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๓๑๐ ไว้อย่างละเอียด โดยตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึง

เมื่อคราวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย(สมัยโบราณเรียก
รอยพระพุทธบาทรังรุ้ง หรือ รอยพระพุทธบาทเขารังรุ้ง) ไว้อย่างชัดเจนว่า……………..

“สมัยสมเด็จระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหาง พระองค์ทรงทราบว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาเรียก ”เขารังรุ้ง” จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ ทรงเปลื้องเครื่องทรงทั้งสังวาลย์และภูษา
แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระพุทธบาทและทำสักการะบูชาด้วย ธง ธูป เทียน ข้าวตอก ดอกไม้
มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี “……………
จากข้อความประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราได้ทราบข้อเท็จจริงในทางโบราณคดีเพิ่มเติมอี กประการหนึ่งว่า โดยแท้จริงแล้วรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยรอยแรกที่คนไ ทยได้ค้นพบและรู้จักมักคุ้นนั้นก็คือ พระพุทธบาทสี่รอย อันประดิษฐานอยู่ ณ เขต อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบันนี่เอง

ในขณะที่รอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี ณ เขาสัจจพันธ์นั้น ได้รับการค้นพบเจอในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมซึ่งเป็นยุ คหลังจากรัชสมัยแห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงกว่า 5 ศตวรรษ จากสาส์นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ทรงบันทึกไว้ว่า พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
แม้กรุงศรีอยุธยาก็ยังจำลอง รอยพระพุทธบาทไปไว้ที่ ปราสาทนครหลวง ที่วัดจันทร์ลอย
ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา………….

พระอริยสงฆ์ที่สำคัญของล้านนาและของประเทศไทย
ที่เคยธุดงค์เพื่อไปกราบสักการะบูชารอยพระพุทธบาทสี่ รอย………………..

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหาร ที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราวนั้นเสียแล้ว
ได้สร้างวิหารใหม่ครอบรอยพระพุทธบาทไว้ และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอย
เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาสืบไปตลอดกาลนาน………… …….

ด้วยวัดพระพุทธบาทสี่รอย เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าถึง ๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าโกนาคมโน พระพุทธเจ้ากัสสโป พระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบัน)

จึงนับได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญมาก เป็นที่สักการะบูชาของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลายซึ่ งพระพุทธบาททั้งสี่รอยนี้ ครูบาอาจารย์ พระธุดงค์กรรมฐานสายครูบาเจ้าศรีวิชัย หลายองค์ อาทิเช่น ครูบาหน้อย ชยวํโส วัดบ้านปง,ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง,ครูบาอินแก้ว ,ครูบาดวงดี


วัดท่าจำปี,ครูบาบุญปั๋น ธัมมปัญโญ วัดร้องขุ้ม,ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพรพุทธบาทห้วยต้ม,พระอาจารย์ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง,ครูบาเทือง นาถสีโล วัดบ้านเด่น เป็นต้น และพระธุดงค์กรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ได้แก่หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร,หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญญวิเวก นครพนม,หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย,หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง เชียงใหม่,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ เลย,

หลวงปู่สิม พุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่,หลวงปู่จาม,พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป และอีกหลายองค์ ในสายพระอาจารย์มั่น นอกจากนี้ยังมีหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์ ( ได้ยาอายุวัฒนะจากบริเวณป่าใกล้วัดพระพุทธบาทสี่รอย) หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร,หลวงพ่ออุตตมะ อุตตมรัมโภ วัดวังก์วิเวการาม(ได้ธุดงค์ไปองค์เดี่ยว เพื่อไปกราบนมัสการเมื่อ ๔๐ กว่าปีมาแล้ว ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ) และหลวงพ่อสมควร

วัดถือน้ำ นครสวรรค์,หลวงปู่เมฆ วัดป่าขวางพระเลไลย์ สงขลา ได้เคยเดินธุดงค์ขึ้นไปนมัสการแล้วและได้รับรองว่าเป ็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง………………
นอกจากนี้ ยังได้รับคำยืนยันรับรองของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดอรัญญวิเวก จังหวัดนครพนมว่า

รอยพระพุทธบาทดังกล่าว เป็นรอยพระพุทธบาท ๔ รอยของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ในมหาภัทรกัปป์นี้จริง และเป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัปป์ ที่สำคัญสูงสุดในจักรวาล และรอยพระพุทธบาททั้ง ๔ รอยนี้ ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่………………………

นอกจากนี้ หลวงปู่สิม พุทธจาโร ซึ่งเคยเดินขึ้นไปนมัสการมาแล้วเช่นกัน ดังธรรมเทศนาของท่านตอนหนึ่ง(คัดลอกมาจากหนังสือพุทธ าจารานุสรณ์ ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สิมพุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พุทธศักราช ๒๕๓๖ )……..

“ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอยอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา
หลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูแล้ว ไปกราบไหว้ เป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยม ขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ พระพุทธเจ้ากกุสันโธได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดหินก้อนนั้น ยาวขนาด ๑๒ ศอก เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว พระพุทธเจ้าโกนาคมโน
ก็มารื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพานท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้เป็นร อยที่สอง(ขนาด)ลดลงมา มาถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอย และพระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพาน
           ก็เหยียบรอยพระบาทไว้ในก้อนหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า พระพุทธบาทสี่รอย ยังมีพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้ แล้วโปรดเวไนยสัตว์ ก็มาเหยียบไว้อีก เรียกว่าแผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด แผ่นดินนี้ เรียกว่าภัทรกัปป์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสสอนก็ตาม ก็สอนให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ละกิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลงอันเก่านี่แหละ

                เมื่อใดปฏิบัติภาวนาบารมีเต็มแล้ว ก็รู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อรูปนามแตกดับแล้ว ไปสู่นิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกอันแสนทุรกันดารนี้อีกต่อไป
 “………….. สถานที่ประดิษฐานของพระพุทธบาทสี่รอยดั้งเดิมที่มีผู ้รู้บางท่านสันนิษฐานไว้…………….
มีผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า ความจริงแล้ว หินก้อนนี้อยู่ที่ป่าหิมพานต์ แต่นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า หินนั้นได้ตั้งอยู่ ณ ที่นี้ ส่วนผู้ที่จะกล่าวแก้ควรบอกว่า ป่าก็ดี เขาก็ดี ที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ไม่ขาด ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า ป่าหิมพานต์ ธรรมชาติของเปรตทั้งหลาย ไม่เคยมีตัวมีตนในเมืองมนุษย์

แต่ธรรมชาติของเปรตทั้งหลาย ย่อมเกิดเป็นตัวเป็นตนในป่าหิมพานต์เท่านั้น หากแต่พระอริยสาวกทีมีอิทธิปาฏิหาริย์ ได้อัญเชิญมาด้วยกำลังฤทธิ์ เพื่อที่จะให้เป็นที่กราบไหว้และสักการะบูชาแก่ชาว “ตามิละ “(ลัวะ)…………… พวกชาวเขา(ลัวะ)และคน”ยาง” หากมารักษาและสักการะรอยพระพุทธบาทแล้ว ฝนฟ้าก็จักตกต้องตามฤดูกาลเป็นอันดี ด้วยพุทธานุภาพ และแม้
         ในกาลอนาคต พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่หินก้อนนี้อีก เป็นรอยที่ ๕ จนล่วงไปอีกราว ๒,๐๐๐ ปี หินก้อนนี้ก็จะแตกสลายลง บังเกิดเป็นมนุษย์ขึ้น ซึ่งมนุษย์คนนี้ จะได้บวชในพระพุทธศาสนา สำเร็จมรรคผลนิพพานในสมัยพระศาสนาแห่งพระศรีอริยเมตต ไตรยพุทธเจ้านั่นแล ฯ

ยังมีพระผู้รอบรู้พระไตรปิฎกองค์หนึ่ง ถามว่า “พระบาท ๔ รอยนี้ จะเจริญรุ่งเรืองเมื่อใด “…………..


ผู้ที่จะกล่าวแก้ปัญหาควรกล่าวว่า “ดูกรท่านทั้งหลาย อันบาลีแห่งพระพุทธเจ้า กล่าวไว้ว่า ปฐมเบื้องต้น มัชฌิมะเบื้องกลาง ปัจฉิมะเบื้องปลาย เหตุบาลีว่า อาทิกัลยาณัง งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง งามในท่ามกลาง ปริโยสานากัลยาณัง งามในที่สุด งามในที่แล้ว(ที่สุด)แห่งศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธบาท ๔ รอยนี้ จักเจริญรุ่งเรืองงามในท่ามกลางศาสนาจริงแล ฯ

“ ดังนั้น ก็นับว่าพระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ เป็นที่สักการะบูชามาช้านานถ้าหากว่าผู้ใดมีจิตศรัทธ าที่จะขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย ก็ควรที่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ ้า

      เมื่อไปถึงแล้ว ก็ควรที่จะสำรวมกาย วาจา ใจ ให้มันเป็นปกติ ก็ชื่อว่ารักษาศีล ก็ทำให้เกิดสมาธิ ให้มีจิตใจที่ตั้งมั่น ทำให้เกิดปัญญา และจักได้ชื่อว่าเจริญตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค ์อย่างแท้จริงการที่มีคนศรัทธาเดินทางขึ้นไปกราบนมัส การรอยพระพุทธบาท ก็เหมือนกับว่ามีดวงจิต ดวงใจ อยู่ในสมาธิ ภาวนา
        มีพุทธานุสติเกิดขึ้นในจิตใจ และประกอบไปด้วยความศรัทธาและความเพียร ขันติ ความอดทนการที่จะขึ้นไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ถนนหนทางไม่สู้จะสะดวกเท่าไร เป็นทางขึ้นเขา ทางเดินแคบขึ้นได้สะดวกก็ช่วงฤดูแล้ง ช่วงฤดูฝนก็ลำบาก จึงเป็นการวัดถึงจิตใจของพุทธศาสนิกชน ว่าจะมีคนที่ศรัทธา และวิริยะ ที่จะขึ้นไปเพื่อกราบไหว้และสักการะเพียงใด ถ้าหากว่าใคร ได้ไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็นับว่าเป็นศิริมงคล และจะได้รับผลานิสงส์เป็นอย่างมาก……………..

ดังนั้น ขอให้พุทธบริษัททั้งหลาย ที่ได้มากราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยแล้ว
หรือผู้ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ พระพุทธบาทสี่รอยแล้ว
ก็ใคร่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า การที่พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์เสด็จมาประทับรอยพระ บาทไว้ที่นี้

ก็เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย เพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน ดังนั้นการที่เราได้กราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ด้วยเครื่องสักการะบูชา มีดอกไม้ ธูป เทียน

ก็ยังไม่ได้เจริญตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์ทรงมุ่งหวังให้เราทั้งหลาย เจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ ภาวนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พ้น จากกองทุกข์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการเจริญสมาธินั้น พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่ามีอานิสงส์กว่าการให้ทาน ซึ่งเป็นหนทางสู่มรรค ผลนิพพาน โดยแท้จริง……………..

วาระสุดท้ายนี้ ท่านผู้ใดที่ได้อ่านประวัติความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอยนี้แล้ว กรุณาใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ และให้ถึงศรัทธาในดวงจิต ดวงใจให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหล ายที่เดินทางขึ้นมา กราบพระพุทธบาทสี่รอยอาตมาขอให้ท่านทั้งหลาย ที่ได้เดินทางมากราบพระพุทธบาทสี่รอยแล้ว หรือได้อ่านประวัติพระพุทธบาทสี่รอย จงประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าในทาน ศีล ภาวนา มีปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่ พ้นจากกิเลส กองทุกข์ทั้งหลาย จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ….สาธุ………….

พระพรชัย ปิยะวัณโณ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาท ๔ รอย


คำไหว้พระพุทธบาทสี่รอย

“สาธุ โกสัมพิยัง อะวิทูเร เวภาระปัพพะเต กะกุสันโธ……………….

โกนาคะมะโน กัสสะโป โคตะโม……………


ปาทะเจติยัง ชินะธาตุ จะฐะเปตวา อะหัง วันทามิ ทูระโต “

รูปพระพุทธบาท ๔ รอย

รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมา แล้ว ในภัทรกัปป์นี้คือ……..
รอยแรก……..รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
รอยที่ ๒………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
รอยที่ ๓………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
รอยที่ ๔………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตมะ

        ด้วยอานิสงส์แห่งบุญบารมีในการเผยแพร่ประวัติความเป็นมาของพระพุทธบาท ๔ รอยและพระพุทธธรรมต่างๆ เพื่อเป็นธรรมทาน ในเว็บไซต์แห่งนี้ คณะผู้จัดทำขออุทิศบุญกุศลถวายแด่….พระพุทธเจ้าทุกๆพ ระองค์ พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันตเจ้าทุกๆพระองค์……


         คุณบิดา มารดา ทุกภพทุกชาติ คุณครูอุปัชฌาจารย์ทุกภพทุกชาติ เจ้ากรรมนายเวร โรคกรรม โรคเวรทุกภพทุกชาติ ตลอดจนถวายเป็นพระราชกุศลแด่บูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้ าของไทยทุกๆพระองค์ พระสยามเทวาธิราช ขุนศึก นักรบที่ต่อสู้ป้องกันเพื่อรักษาชาติไทยตั้งแต่โบราณ กาลถึงปัจจุบันทุกๆคน รวมทั้งเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย……..ขอให้ทุกท่านได้ถึงซึ่ง มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตามความปรารถนาทุกประการ เทอญ…….นิพพานะ ปัจจโย โหตุ สาธุ ๆ ๆ………..  สาธุ อนุโมทามิ  อนุโมทนาสาธุ

หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา  ( ท่านปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ) สอนไว้ว่า…..อย่าประมาท
เราเป็นผู้กระทำบุญ แสวงหาสุขภายหน้า……………… เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ฉะนี้แล้ว อย่าให้เสียเวลา…………….
ควรเร่งกระทำบุญ ไปตามเวลา กาละอันควร……………
บ่ควรจักอ้างว่า……..ตัวนี้หนุ่มอยู่ ปล่อยมันเฒ่า มันแก่เสียก่อนค่อยทำ…………
จะว่าอย่างนั้นก็บ่ควร………………
อันความตายแห่งคนทั้งหลาย มันบ่แน่ ควรพิจารณาให้ดีๆ…………

ครั้นว่า เจตนามี เราควรเร่งกระทำเสียเมื่อยามหนุ่มนี้ ประเสริฐแล……………..

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://board.palungjit.com/f8/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2-245564.html

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแต่ละครั้ง นานมาก พึงรีบนำธรรมะมาปฏิบัติให้พ้นทุกข์กันเถิด




สร้างบารมีในช่วงเศษแสนมหากัป

     หลังจากศาสนาของพระนารทะพุทธเจ้าไปแล้ว
ก็เป็น สูญอสงไขย ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเลยในหนึ่งอสงไขย
เมื่อขึ้นต้นอสงไขยใหม่หรืออยู่ในเศษแสนมหากัป
ที่พระนิยตโพธิสัตว์เพียรส้รางบารมี เป็น สารกัป
คือเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ เพียง 1 พระองค์เท่านั้น
สมัยพระปทุมมุตระพุทธเจ้า

ในคราวนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นนายบ้านชื่อ ชฏิล
ต่อมาได้ออกบวชเป็นดาบส มีตบะเดชอันเชียวชาญ เมื่อได้พบพระพุทธองค์
บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก ได้ทำการถวายทานกับพระภิกษุสงฆ์
อันมีพระปทุมมุตระพุทธเจ้า เป็นประธาน
เมื่อสมเด็จพระปทุมมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสวยภัตตาหาร
และทรงแสดงอนุโมทนากถาแล้ว จึงตรัสพุทธพยาการณ์ว่า

"ชฏิลดาบสผู้นี้ นานไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัป อันจะมีในที่สุดหนึ่งแสนมหากัป"

หลังจากนั้นชฏิลดาบสก็เพียรพยายามสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้นไป
แล้วเวียนเกิดเวียนตายอีกนานแสนนาน -----------------------

เมื่อพระศาสนาของพระปทุมมุตระหมดสิ้นไปแล้ว ก็เป็นสูญกัปถึง 30,000 กัปทีเดียว
จึงมี มัณฑกัป บังเกิดขึ้น เป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
คือ พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ในคราวนั้นนิยตโพธิสัตว์ ได้เกิดเป็นมานพหนุ่ม นาวว่า อุตตรมานพ
มีสมบัติมากมายมหาศาลและบริวารจำนวณมากมาย
วันหนึ่งได้มีโอกาสพบพระพุทธองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนา บังเกิดเลื่อมใสศรัทธา
จึงบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่แก่พระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
และภายหลัง จึงสละเพศฆราวาสวิสัย ออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
ครานั้น พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"อุตตรภิกษุนี้ นานไปเบื้องหน้าในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

หลังจากนั้นอุตตรภิกษุ ก็ได้เพียรสร้างบารมีต่อไป
แล้วเวียนเกิดเวียนตายอยู่หลายชาติ นับได้หนึ่งพุทธันดร ...........

สมัยพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า(2)
ในคราวนั้น พระนิยตโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็น พระบรมจักรพรรดิ
ทรงมีอำนาจแผ่ไปใน 4 ทวีป เมื่อได้ฟังข่าวว่าพระสุชาตะพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก
ทรงมีปีติยินดีเป็นยิ่งหนัก เมื่อทรงได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์
ทรงมีศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงถวายทานอันยิ่งใหญ่ และเป็นเลิศแก่พระภิกษุ
โดยมีพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานเป็นนิจ
แล้วหลังจากนั้นพระองค์ ทรงสละราชสมบัติออกบวชเป็นพระภิกษุ
ดังนั้นชาวเมื่องต่าง นำเครื่องราชบรรณาการต่างๆ ถวายพระองค์ให้เป็นของสงฆ์
สร้างเป็นอารามใหญ่ แล้วทำการฉลองถวายทานอย่างยิ่งใหญ่
ชึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ในคราหนึ่งพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระบรมจักรพรรดิภิกษุนี้ ต่อไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

หลังจากนั้นพระบรมจักรพรรดิภิกษุโพธิสัตว์ ก็หมั่นเพียรสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้น
ศึกษาในพระปริยัติธรรม และบำเพ็ญพระกรรมฐาน จนสิ้นสวรรคต
ก็เวียนเกิดเวียนตายอีกนานแสนนาน ----------------

เป็นสูญกัปไปอีกนาน ถึง 60,000 กว่ากัป ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
จนถึง วรกัป เกิดขึ้น มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 3 พระองค์
พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(1) ในสมัยนั้นพระนิยตโพธิสัตว์
ได้กำเนิดในตระกุลพราหมณ์ มีนามว่า กัสสปะมานพ เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า
และฟังพระธรรมเทศนา ก็มีความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก
หลังจากนั้นได้ถวายทานและสร้างอารามแด่พระภิกษุสงฆ์
โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยทรัพย์สินจำนวนมากมาย
บัดนั้นพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"กัสสะปะมานพผู้นี้ ต่อไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

กัสสะปะมานพมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็หมั่นเพียรสร้างสมบารมียิ่งขึ้น
จนสิ้นอายุขัย ก็เวียนเกิดตายอีกหลายชาติ ในหนึ่งพุทธันดร ----------------

สมัยพระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ในคราวนั้นพระนิยตโพธิสัตว์กำเนิด
ในตะกุลพราหมณ์มหาศาล นามว่า สุสิมะพราหมณ์ ในภายหลังมีใจที่จะออกบวช
จึงสละทรัพย์ที่มีอยู่ออกบวช เป็นดาษส บำเพ็ญพรตจนบรรลุอภิญญาสมาบัติ
มีมหิทธาศักดานุภาพมาก ท่องเที่ยวไปในสวรรค์สองชั้นฟ้า
คือชั้น จาตุ และดาวดึงส์ และได้นำเอาลายลักษณ์พระพุทธบาทมาทำเป็น
พระพุทธบาทเจดีย์ เป็นที่บูชาของ ของปวงชน
เมื่อพระอัตถทัสสีพุทธเจ้าอุบัติขึ้น วันหนึ่ง สุสิมะมหาฤาษีได้มีโอกาศฟังธรรม
จากพระพุทธองค์ แล้วเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง จึงได้เหาะไปยังเทวโลก
เอาดอกไม้ทิพย์ต่างๆ มาโปรยให้ตกลงมาเป็นการบูชา
แล้วเอาดอกไม้ทิพย์ดอกใหญ่ ถือทำเป็นฉัตรบูชาพระพุทธองค์
ที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเทศนาจบลง
จึงตรัสพุทธพยากรณ์แก่สุสิมะฤาษีว่า

"สุสิมะมหาฤาษีผู้นี้ ต่อไปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมนุโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง"

สุสิมะมหาฤาษีมีจิตปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงเพียรสร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เมื่อสิ้นอายุไขยก็ไปเกิดบนพรหมโลก ------------------------------

สมัยพระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(3) ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็น
องค์อัมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ พระองค์ได้นำเทพบริวาร
เสด็จลงจากวิมาน มาบูชาสมเด็จพระธรรมทัศสีพุทธเจ้า ในสมัยประชุมใหญ่
แห่งปวงเทวดา ใน ณ ที่นั้นพระธรรมทัสสีพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ว่า

"สมเด็จพระอัมรินทรเทวาราชนี้ นานไปในอนาคต
จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"
พระอินทร์ได้ทราบดังนั้นก็มีจิตใจยินดีเป็นล้นพ้น แล้วเพียรสร้างบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
หลังจากนั้นก็เวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน -----------------

กาลเวลา เป็นสูญกัป ถึง 24 กัป ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น แล้วก็บังเกิดเป็น
สารกัป คือมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 1 พระองค์
สมัยพระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ถือกำเนิด
ในตระกุลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า มังคะมาณพ
ภายหลังได้สละทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น ออกบวชเป็น ดาษส
ก็ได้สำเร็จอภิญญาฌานสมาบัติ วันหนึงได้เหาะไปฟังธรรม
ในสำนักพระสิทธัตถะพุทธเจ้า ด้วยมีความศรัทธาเป็นอันมาก
จึงได้เหาะไปในป่าหิมพานต์ แล้วเลือกเอาผลชมพู่ลูกหว้า
มาถวายพระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุสงฆ์
คราวนั้นพระสิทธัตถะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"ท่านมังคะดาบสนี้ นานไปในอนาคต 94 มหากัปต่อจากนี้ไป
จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระนามว่า
พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง"

เมื่อมังคะดาษสได้รับทราบดังนั้นจึงมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เพียรสร้างบารมีต่อไป แล้วเกิดตายอีกหลายชาติ ----------------------

เมื่อเริ่มกัปใหม่ก็เป็นสูญญกัป แต่กัปต่อมานับว่าเป็นบุญของหมู่ประชาสัตว์
เป็น มัณฑกัป ซึงมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ในกาลนั้น พระนิยตโพธิสัตว์กำเนิดในตรกูลกษัตริย์
ได้ครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสุชาตะมหาราช ภายหลังพระองค์ทรง
เบื่อหน่ายราชสมบัติ จึงได้สละราชสมบัติ ออกบวชเป็น ดาบส อยู่ในป่าใหญ่
ทรงบรรลุถึงฝั่ง อภิญญา วันหนึ่งสุชาตะดาบส ได้มีโอกาส
ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
จึงเหาะไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เก็บดอกไม้ทิยพ์อันมากมาย
ด้วยอำนาจฌานวิสัย แล้วทำการสักระบูชาแด่องค์พระติสสะพุทธเจ้า
ซึ่งกำลังเทศนาอยู่ เมื่อพระองค์ทรงเทศนาจบ ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระสุชาตะดาบสนี้ ต่อไปในอนาคต 92 มหากัป
ต่อจากนี้ไป จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัป
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

พระสุชาตะดาบส เมื่อทราบดังนั้นก็มีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ก็ทรงสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้น จนสิ้นอายุขัย ก็เวียนเกิดตายอยู่ หนึ่งพุทธันดร ------------

สมัยพระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์
กำเนิดในตระกุลกษัตริย์ ได้ครองราชทรงพระนามว่า พระเจ้าวิชิตราชา
วันหนึ่งเมื่อพระองค์ได้ทรงทราบว่า พระมหาปุสสะพุทธเจ้าตรงอุบัติขึ้น
พระองค์ทรงเสด็จเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า เมื่อได้ทรงสดับพระธรรมจากพุทธองค์
พระวิชิตราชา ก็ทรงสละราชสมบัติทังหมด ออกบวชเป็นพระภิกษุ
ทรงศึกษาพระไตรปีฏกจนแตกฉาน แสดงธรรมได้คล่องแคล้วยิ่งนัก
ในครานั้น พรมหาปุสสะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระวิชิตภิกษุพระองค์นี้ ต่อไปในอนาคต 92 มหากัป
ต่อจากนี้ไป จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัป
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

พระวิชิตภิกษุ ก็สร้างบามีต่อไป แล้วเวียนเกิดตาย ไปอีกนาน ....

สมัยพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์กำเนิดเป็นาคราช
ทรงพระนามว่า ภุชงคนาคราช มีนาคบริวารมากมาย เมื่อได้ทราบข่าวว่า
พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลก ก็มีความเลื่อมใส
จึงพาเหล่าบริวาร และเนรมิตมณฑปใหญ่ อาราธนา
พระพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวก มาอาศัยแล้วถวายภัตตาหาร
หลังจากนั้นพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พญาภุชงนาคราชนี้ นานไป 91 มหากัป แต่กาลนี้ไป
จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

ภุชงนาคราช เมื่อได้สดับฟัง ก็มีใจยินดีศรัทธาเป็นยิ่งนัก
สร้างสมอบรมบารมีต่อไป เวียนเกิดตาย อีกนานแสนนาน....

หลังจากนั้นกาลเวลาเป็นสูญกัปถึง 60 มหากัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
แล้วก็ปรากฏเป็น มัณฑกัป ซึ่งมีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น 2 พระองค์
พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมัยพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ กำเนิดเป็น พระเจ้าอรินทมะราชาธิราช
ปกครองราชสมบัติ วันหนึ่งทรงมีโอกาศ ได้พบกับพระสิขีพุทธเจ้า
พระเจ้าอรินทมะราชา ทรงศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงทรงบริจาคมหาทาน
แด่เหล่าพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ในครานั้น พระสิขีพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระเจ้าอรินทมะมหาราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ 31 มหากัป
จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

พระเจ้าอรินทมะมหาราช เมื่อได้สดับฟัง ก็เกิดความยินดีปรีดาเป็นนักหนา
ตั้งพระทัยอุตสาหะสร้างสมอบรมบ่มบารมีต่อไป
เกิดตายอีกหลายชาติ ไปหนึ่งพุทธันดร -----------------------------

สมัยพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า(2)
ในกาลนั้น พระนิยตโพธิสัตว์ ได้เสวายราชสมบัติ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าสุทัสสนะมหาราช เมื่อพระองค์ได้ข่าวว่า
พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบังเกิดขึ้นในโลก พระองค์ทรงปีติ
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำเนินไปเฝ้าพระพุทธเจ้าบังเกิดศรัทธา
เป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพระองค์ทรงประกอบมหาทานเป็นอย่างมาก
แล้วทรงสละราชสมบัติ ออกบวชเป็นพระภิกษุ ศึกษาพระไตรปิฏก
จนแตกฉาน ในครานั้นพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระสุทัสสนะภิกษุ นานไปในอนาคติอีก 31 มหากัป
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปนั้น"

หลังจากนันพระสุทัสสนะภิกษุก็ เพียรสร้างบารมีในพุทธภูมิ
ให้เต็มเปลียมบริบูรณ์ขึ้น แล้วเวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน ----------------------

ต่อจากมหากัปนั้นมาก็เป็น สูญกัป ถึง 30 มหากัป แล้วก็มาถึงกัปที่สำคัญ
ของพระนิยตโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และเป็นภัทรกัป
คือมีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ ซึ่งเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้ามากที่สุด
เพราะตั้งแต่ 4 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป
ก็มีเพี่ยงกัปนี้กัปเดียวที่มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ
พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ และที่กล่าวถึงนี้คือ
พระโพธิสัตว์อดีดชาติของพระองค์ และพระศรีอริยเมตไตรย
สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะตรัสรู้ในอนาคตในกัปนี้

สมัยพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้าเขมะราชาธิราช
เป็นพระราชาปกครองประเทศ เมื่อพระองค์ได้ทรงพบ พระกกุสันธะพุทธเจ้า
พระองค์ทรงศรัทธาอย่างยิ่ง ทรงหมั่นฟังธรรมถวายมหาทานเป็นประจำ
ในที่สุดพระองค์ทรงออกบวชในพระพุทธศาสนา ศึกษาจนแตกฉาน
ในพระธรรม เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
กาลวันหนึ่งพระกกุสันธะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระเขมราชภิกษุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้
เป็นลำดับองค์ที่ 4 มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ก็สร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
จนอายุขัยประมาณ 40,000 ปี ก็ เวียนเกิดตาย อยู่ 1 พุทธันดร -----------

พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
พระเจ้าบรรพตบรมราชา เป็นพระราชาปกครองประเทศ เมื่อพระองค์ได้ทรงพบ
พระโกนาคมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก
ทรงสละราชสมบัติออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
ทรงศึกษาพระไตรปีฏกจนแตกฉาน เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
กาลวันหนึ่งพระโกนาคมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระบรรพตบรมราชาภิกษุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในภัทรกัปนี้ เป็นลำดับองค์ที่ 4 หลังจากตถาคตไปองค์ที่ 2
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ก็สร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
จนอายุขัยประมาณ 30,000 ปี ก็ เวียนเกิดตาย อยู่ 1 พุทธันดร ----------------

สมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า(3)
ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น บุตรของพราหมณ์มหาศาล
มีนามว่า โชติปาลมานพ
ได้ศึกษาจบไตรเภท มีสหายนามว่า
ฆฏิการมานพ เป็นนายช่างทำหม้อ ฆฏิการมานพกล่าวชวน
โชติปาลมานพ ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ถึง 3 ครั้ง 2 ครั้งแรก
โชติปาลมานพไม่ยอมไป แล้วกล่าวทำนองว่า

"การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นของยาก และการที่มีผู้อวดอ้างว่า
เป็นพระพุทธเจ้า เราหาเชื่อไม่"

ในครั้งที่ 3 ฆฏิการมานพซึ่งบรรลุเป็นพระอนาคามี
จำเป็นต้องจับศรีษะโชติปาลมานพ แล้วกล่าวชวนอีกครั้ง
โชติปาลมานพมีความแปลกใจ ในพฤติกรรมของเพื่อน จึงยอมไปดู
เมื่อได้ฟังธรรมจากพระกัสสปะพุทธเจ้า จึงมีศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
ออกบวชในพุทธศาสนาทันที ศึกษาพระไตรปิฏกจนแตกฉาน
เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
ครานั้น พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

"พระโชติปาลภิกขุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้
เป็นลำดับองคที่ 4 หลังจากตถาคต ในเบื้องหน้า
มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

หลังจากนั้นพระโชติปาลภิกษุ ก็อบรมบ่มบารมีจนอายุขัย
ประมาณ 20,000 ปี ก็สิ้นอายุขัย ไปจุติเป็นเทพยดkบนดาวดึงส
เทวโลก เป็นองค์อมรินทร์ปกครองเหล่าเทวดา ดาวดึงส์เทวโลก
แล้วทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาเมื่อมีความจำเป็น จนสิ้นศาสนา
ของพระกัสสปะพุทธเจ้า อายุไขยของมนุษย์ลดลง 1 ปีในทุก 100 ปี
จากอายุ 20,000 ปี จนอายุไขยมนุษย์อยู่ที่ 120 ปี พระอินทร์โพธิสัตว์
ก็ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ มีพระนามว่า พระเวสสันดรโพธิสัตว์
ทรงบำเพ็ญ มหาทานเป็นชาติสุดท้าย หลังจากสิ้นพระชนม์
ก็ได้ไปจุติเป็นเทพยดา บนชั้นดุสิตเทวโลก มีพระนามว่า
พระเสตุเกตุเพพบุตร เสวยทิย์สมบัติ จนพระชนมายุได้ 4,000 ปีทิพย์
อันเป็นประเพณีของพระมหาโพธิสัตว์
ก่อนที่จุติบนโลกมนุษย์ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ขณะที่เสวยสุขบนดุสิตเทวโลก
ต้องเสวยสุข จนครบ อายุไขย คือ 4,000 ปีทิพย์ นับได้ 576 ล้านปีโลกมนุษย์
แล้วเหล่าเทพเทวดาทั่งทั้งหมื่นโลกธาตุ ก็ทรงอัญเชิญพระองค์ ให้จุติเป็นมนุษย์
เพื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทรงคุณอันมหาศาล รื้อขนสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏฎะสงสาร


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/f13/ooo-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9B-ooo-24214.html 


ไตรสิกขา

    พระองค์ก็ทรงสอนด้วยว่า   เราเกิดมาเพื่อ  ศึกษา “ไตรสิกขา” ศึกษาเพื่อที่ จะพัฒนาชีวิตจิตใจ และสติปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเพื่อ ความดับทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุได้

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/44066



ไตรสิกขา แปลว่า สิกขา 3 หมายถึงข้อสำหรับศึกษา, การศึกษาข้อปฏิบัติที่พึงศึกษา, การฝึกฝนอบรมตนในเรื่องที่พึงศึกษา 3 อย่างคือ  ศีล สมาธิ ปัญญา
  1. อธิสีลสิกขา คือศึกษาเรื่องศีล อบรมปฏิบัติให้ถูกต้องดีงาม ให้ถูกต้องตามหลักจุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลัก มัชฌิมศีล และมหาศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลักอินทรียสังวร สติสัมปชัญญะ และสันโดษ
  2. อธิจิตตสิกขา คือศึกษาเรื่องจิต อบรมจิตให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิ ได้แก่การบำเพ็ญสมถกรรมฐานของผู้สมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์จนได้บรรลุฌาน 4
  3. อธิปัญญาสิกขา คือศึกษาเรื่องปัญญาอบรมตนให้เกิดปัญญาแจ่มแจ้ง ได้แก่การบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานของผู้ได้ฌานแล้วจนได้บรรลุวิชชา 8 คือเป็นพระอรหันต์
 ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2

ผู้ปรารถนาพ้นทุกข์ พึงนำมาศึกษาปฏิบัติกันเถิด 

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความสุขความเจริญ และ คุณพระบิดาคุณพระมารดา

                                            

 กตัญญู-กตเวที  คุณธรรมแห่งความสุขความเจริญ             
              เรื่องพระคุณพ่อแม่นั้นเรื่องลูกนั้น ยังทันสมัยทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยจืด ไม่เคยเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ทุกยุคทุกสมัย อาถรรพ์ร้ายจะติดตามผู้เป็นลูกถ้าทำให้ท่านเสียใจ และสิริมงคลย่อมเกิดขึ้นแก่ลูกถ้าลูกกตัญญูกตเวทีต่อท่าน เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อแม่ เรื่องลูกๆ แม่ๆ พ่อๆ นี่ มันศักดิ์สิทธิ์ตลอดอนันตกาล เพราะ อำนาจจิตที่คิดดีต่อลูกมันมีมาก เมื่อลูกรู้คุณก็มีบุญทันตา ถ้าลูกเนรคุณก็มีผลชั่วช้าน่าหวาดเสียว
                    อาตมาอยากจะบอกอย่างนี้นะคุณโยม ลูกที่อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่มากเกินไป หากไม่ระวังจิตขาดสติเพราะคุ้นเคยกับท่านมากเกินไป พอด่าก็ด่า พอดุก็ดุ พอพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำได้ก็พูด ไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้าเจ็บใจขนาดไหน เห็นท่านไม่ตอบโต้ นึกว่าท่านไม่เป็นไร ให้อภัยเราได้คงไม่ว่าอะไร ที่แท้ท่านก็แอบกล้ำกลืนน้ำตาอยู่ในห้องนอนคนเดียวก็มี อยู่ ใกล้พระอรหันต์ไม่เห็นคุณของพระอรหันต์... อยู่ใกล้พระพรหมไม่เห็นคุณของพระพรหม... อยู่ใกล้พระเทพไม่เห็นคุณของพระเทพ... อยู่ใกล้พระอาจารย์ไม่เห็นคุณของพระอาจารย์... น่าหวาดเสียวนะ อยู่ใกล้ท่านแล้วขาดสติ เพราะล่วงเกินกับท่านครั้งหนึ่ง บาปยิ่งกว่าล่วงเกินคนอื่นสิบครั้งยี่สิบครั้ง คนอยู่ใกล้พ่อแม่จึงมีคุณยิ่งใหญ่ และก็มีโทษมหันต์ด้วย ถ้าระวังตัวก็จะมีคุณบุญบารมียิ่งใหญ่ ถ้าไม่ระวังใจก็จะมีบาปมหันต์เช่นเดียวกัน
                การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่นี้ยากเหลือเกินจะให้ หมดสิ้น เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่าแม้นบุตรธิดาใดแบกพ่อแม่อยู่บนบ่าทั้งสองซ้ายขวา ให้อุจจาระปัสสาวะรดราดบนบ่า ป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างดีไม่ให้ลำบาก มอบรัตนะคือแก้ว ๗ ประการ มอบสมบัติในแผ่นดินให้พ่อแม่ครอบครองดูแลอย่างนั้นตลอด ๑๐๐ ปี ก็ไม่สามารถจะตอบแทนบุญแทนคุณของท่านให้หมดสิ้นได้ เพราะบุญคุณของท่านยิ่งกว่านั้นอันนี้คือข้อเปรียบเทียบ ก็ไม่มีใครหรอกจะแบกพ่อแบกแม่ไว้บนบ่าใช่ไหมโยม แต่ท่านเปรียบเทียบว่า อย่าว่าแต่เลี้ยงดูธรรมดาเลย ให้ไปไหนมาไหนถ้าท่านขี่อยู่บนบ่านั่งอยู่บนบ่า ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำให้เราต้องลำบากขนาดนั้น ก็ตอบแทนบุญคุณของท่านไม่หมด

                 แต่ว่าถ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณของท่านให้หมด ก็คือ ผู้เป็นลูกที่ได้บวชเรียนเขียนอ่านศึกษาธรรมนั้น ขอให้แนะนำพ่อแม่ที่ไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธาเชื่อบาปบุญคุณโทษ ท่านไม่รู้จักให้ทาน ก็แนะนำเหตุผลให้ท่านรู้จักทำบุญให้ทาน ท่านไม่รู้ไม่มีปัญญา ก็แนะนำชี้แจงบอกแนวทางให้ท่านรู้ให้ท่านเข้าใจ

                 ส่วนลูกที่เกิดมาแล้วมีพ่อแม่รักเป็นห่วงมาก แต่กลับทำลายพ่อแม่ เนรคุณพ่อแม่ อนาคตก็จะไปเกิดในท้องแม่ใจยักษ์ ใจมาร ใจเหี้ยมโหด ไร้ความเมตตาปราณี ส่วนในชาตินี้ก็จะเจอ แฟนที่ไม่ดี..... เจอ ลูกที่ดื้อด้าน..... ทำการงานก็มีแต่เรื่องร้อนใจ ลงทุนอย่างไรก็ไม่มีกำไรเลยคำสาปอยู่ในตัวเราเสมอเพราะทำให้พ่อแม่นั้นช้ำใจ

                     เมื่อวันก่อน คุณโยมท่านหนึ่งมาหาอาตมา บอกว่าอยากให้ลูกบวชเพราะอายุครบ ๒๕ ปีแล้ว เป็นห่วงกลัวจะเป็นอะไร ลูกขอรถคันที่ ๑ ก็ให้คันที่ ๒ ก็ให้ ผลาญสมบัติของพ่อแม่เยอะแล้ว เที่ยวเตร่เฮฮาสนุกสนาน ให้บวชก็ไม่รับปาก มีโอกาสวันเกิดเลยมาเลี้ยงอาหารเพล อาตมาก็เลยถามว่าลูกชาย จำได้ไหมตอนนี้ใครรักเราที่สุด ?... ลูกชายคุณโยมท่านนั้นก็บอกว่า ย่า แม่ และคุณตาครับ... คนที่รักเราที่สุดนั้น เราทำอะไรให้คนที่รักเราได้ชื่นใจบ้าง ? เพื่อนฝูงที่จูงเราไปเที่ยวเตร่เฮฮาสนุกสนาน เพื่อนคนนั้นช่วยเหลืออะไรเราไว้บ้างหรือยัง เพื่อนฝูงถือว่ามีคุณความดีแก่เราน้อย แต่ผู้ที่มีความรักมีบุญคุณยิ่งใหญ่ เราไม่ทำตามท่านซะบ้างเลยรึ กราบแม่ดูซิ กราบย่าดูซิ กราบเป็นไหม

                   ลูกชายคุณโยมท่านนั้นก็เลยกราบแม่ และก็กราบย่า ทำให้น้ำตาเจ้ากรรมของแม่หลั่งไหลออกมา ก็ความดีนั่นแหละโยมท่านเอ๊ย จิตใจมันสะทกสะท้านหวั่นไหวนะ น้ำตาหลั่งไหลก็เพราะความดีที่ลูกมากราบมาไหว้ มาขอโทษแม่ซะ..... ขอโทษย่าซะ..... ถ้าสิ่งใดลูกล่วงเกิน ทำอะไรสักอย่างให้คนที่รักเราได้ชื่นใจตอนท่านมีชีวิตหน่อยได้ไหมลูก..... ก็ยังไม่ได้ยินเสียงรับปาก..... แต่พอ ๓ วันต่อมาก็ปรากฏว่า แม่ส่งข่าวมาว่าลูกจะบวชให้แล้ว.....สาธุ.....
         ฉะนั้น เมื่อลูกได้ทำ ได้พูด ได้คิด ล่วงเกินพ่อแม่ ทำบาปกับพ่อแม่ ซึ่งมันจะมีอิทธิพลทำให้ชีวิตมืดบอด แต่งงานมีลูกหลานๆ ก็จะพาลต่อเราอีก กรรมมันต่อเนื่อง ที่เราทำกับพ่อกับแม่อย่างไร ผลก็มาถึงเราหลายสิบเท่า จะต้องทุกข์ลำบากหนักใจร้อนใจเพราะลูกของตน หรือเพราะแฟนของตนเองอีก ฉะนั้น อิทธิพลของการทำบาปกับพ่อแม่นั้น มีอิทธิพลส่งผลยาวนาน ยิ่งพ่อแม่เสียใจช้ำใจมากเท่าไหร่ ลูกคนนั้นก็จะมี อาถรรพ์ชีวิตติดตามไม่จืดจางเลยชาตินี้ทั้งชาติ แม้จะมีฐานะดีเพียงใด แม้จะรุ่งเรืองในทรัพย์สมบัติเกียรติยศเพียงใด แม้จะมีอำนาจเพียงใด แต่พลังแห่งความมืดก็ไม่เคยทิ้งบุคคลนั้น มักจะมีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจ เจ็บใจช้ำใจอยู่เป็นประจำ อิทธิพลของการทำกับพ่อแม่นั้น ความศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยเสื่อมจากโลกไม่ว่ายุคไหนสมัยใด

ถ้าลูกคนไหนรู้ว่าพ่อแม่รักมาก ดูแลมาก เอาใจมาก แล้วลูกก็พูดดี ทำดี คิดดี กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่มาก ลูกคนนั้นก็จะประสพผลทันตาในสิ่งที่ดีที่เจริญ แม้นจะจนจะยาก จะร่ำจะรวยก็มีความสงบสุข จนก็พออยู่ได้ รวยก็ไม่มีใครมาทำให้ร้อนใจ ชีวิตจะอบอุ่นจะซึ้งใจสบายใจ นี้คืออิทธิพลของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่ลูกได้ทำกับท่าน เพราะฉะนั้น วันนี้ตั้งใจมาพูดเรื่องนี้โดยตรง เรื่องธรรมะอื่นๆ พูดมานานแล้วขอหยุดไว้นะโยม เรื่องพ่อแม่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่จริงๆ การเนรคุณมีอำนาจพอที่จะทำให้ลูกวิบัติ มีอำนาจพอที่จะทำให้โลกนี้เดือดร้อนปั่นป่วน หากใครฆ่าพ่อแม่มาก่อนปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอย่างไรก็บรรลุธรรมไม่ได้
                   สมัยพุทธกาลมีมาณพผู้หนึ่งชื่อ รามาณพ เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดาด้วยความกตัญญูยิ่ง ต่อมาในหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นมีฝนตกหนักมาก เหมือนฝนที่โดนสาปคือฝนตกไม่หยุดไม่หย่อน น้ำท่วมท้นในหมู่บ้านนั้น ชาวเมืองร้อนใจวุ่นวายกันไปหมด แต่สำหรับรามาณพปลอดภัย เพราะเทวดาอดรนทนไม่ได้ด้วยความเมตตาสงสาร จึงบันดาลให้มีเรือ แล้วก็พาไปส่งให้ข้ามพ้นจากภัยพิบัติในเมืองนั้น

              ในยามภัยพิบัติอะไรเกิดขึ้นเพราะกรรมของคนหมู่ใหญ่ คนซึ่งมีความกตัญญูกตเวทีจะมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วเขาจะ ปลอดภัย เขาจะไม่ถูกภัยพิบัตินั้นครอบงำ นี้คืออิทธิพลของการดูแลบิดามารดา มีอิทธิพล มีอำนาจ มีอานุภาพยิ่งใหญ่จริงๆ เป็น เกาะแก้วกำแพงบุญคุ้มครองบุคคลนั้นอย่างยิ่งใหญ่ไพศาลอย่างน่าอัศจรรย์ แต่คนที่เนรคุณพ่อแม่นั้น ถึงจะเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหนในปัจจุบัน ก็จะต้องถึงซึ่งความพินาศและประสพสิ่งที่ร้อนใจไม่มีหยุดเลยในภายหลัง

                ฉะนั้นมาพูดถึงพระคุณพ่อแม่ พ่อแม่นั้นทำความดีต่อลูกมาก พ่อแม่บางคนเป็นเทพเจ้าของลูก บันดาลช่วยลูกทุกสิ่งทุกอย่าง โอบอุ้มคุ้มครองให้ลูกมีความสุขที่สุด รักลูกมากช่วยลูกมาก ลูกก็ดีมาก แต่ลูกบางคนลูกเจ้ากรรมแต่ครั้งไหน พ่อแม่ทำบาปอะไรหนอ รักลูกมากช่วยลูกมาก แต่ลูกกลับทำแต่ความชั่วให้พ่อแม่ต้องร้อนใจไปตลอด โลกเอ๋ยโลกวัฏฏะสงสารน่าสะพรึงกลัว ควรจะเข็ดหลาบ

              เพราะลูกทำให้พ่อแม่เสียใจหนักใจเข้า ลูกก็รับกรรมต่อเนื่องไปถึงลูกของลูก ลูกของลูกไม่สิ้นสุด ยิ่งใหญ่จริงๆ อิทธิพลของบาปที่ทำกับพ่อแม่ ตอนไหนที่พ่อแม่น้ำตาตกเพราะความชั่วของลูก ลูกจะต้องถูกภัยพิบัติที่น่าหวาดเสียว เหมือนมี คำสาปอันร้ายแรงต่อชีวิต เราไม่มีบุญมีแต่บาปติดตามไป เกิดชาติไหนๆ ก็ระทมทุกข์ ด้วยกรรมจุดนี้เองทำให้เราเวียนเกิดเวียนตายในตระกูลต่ำช้าบ้าง เกิดกับท้องแม่ที่ใจยักษ์ใจมารบ้าง เกิดในสถานที่สิ่งแวดล้อมไม่ดีบ้าง

                 โทษแห่งการหันหลังให้พระ หันหลังให้ธรรมะ ไม่อ่านธรรมะ ไม่ฟังธรรมะ มีอิทธิพลให้จิตมืดบอด ทำบาปหนักหนาสากรรจ์ และก็ต้องรับผลในปัจจุบันและอนาคต ทำบาปแบบสนุกสนานไม่รู้เรื่องอะไรเลย ปล่อยให้พ่อแม่ลำบากยากแค้นแสนเข็ญ แต่ลูกบางคนมีบุญ ติดเหล้าติดยา พอฟังธรรมะแล้วก็กลับตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ คือพ่อแม่ทะนุถนอมมาก ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ถนอมดังลูกแก้ว เติบโตมาแล้วเอาร่างกายไปเสพยาม้า ยาบ้า เหล้า ฝิ่น กัญชา บางคนติดกาวเป็นสิบๆ ปี ตอนนี้ก็มีพ่อแม่ที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อ่อนอกอ่อนใจ เราดูแลลูกอย่างดี แต่ลูกไม่ดูแลสมบัติของพ่อแม่ให้เลย

                 มีโยมผู้ชายคนหนึ่งฟังเทศน์เรื่องนี้แล้ว ก็ปฏิญาณเลิกเหล้า และตัวเองก็มีลูกแล้ว จะเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก เคยดื่มเหล้าเมายาสนุกสนานเพลิดเพลินจนหมดเงินหมดทอง จนไม่รับผิดชอบครอบครัว ทำให้คนอื่นดูถูก พอเราเลิกได้ลูกก็เคารพยำเกรงเรา พ่อแม่ก็ชื่นใจกับเรา แสดงว่า โยมผู้ชายคนนั้นมีบุญนะ ถ้าไม่มีบุญคงไม่มีโอกาสที่จะมาฟังธรรมะ หลายคนที่มีบุญเก่าเยอะ เกิดเป็นคนมีบุญพร้อมที่จะเป็นคนดีแต่ว่าสิ่งแวดล้อมยั่วยุมัวเมา เพื่อนฝูงจูงไปลงสู่ที่ต่ำมากมายเหลือเกิน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็พลอยเป็นคนชั่วไปด้วย แต่พอมีโอกาสฟังธรรม ได้เห็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็กลับใจมาทำดี แสดงว่าเขามีบุญอยู่ แต่ว่าขาดมิตรที่ดีก็เลยหลงทาง พอพบกัลยาณมิตรเลยหูตาสว่าง
                   
                โยมนั่งนึกดีๆ ซิ !! ชาตินี้ชาติเดียวเกิดมาทำดีแล้วดีเลย ชั่วแล้วชั่วเลย การทำความดีไว้กับตัวเองมากๆ ไว้กับพ่อแม่มากๆ ชื่อว่าเรารักษาสมบัติของพ่อแม่ไว้ได้อย่างดี พ่อแม่ก็ได้บุญด้วย นึกย้อนหลังแล้วชื่นใจ แม้นอาตมาเองก็ชื่นใจกับตัวเองที่ได้บวชทำให้พ่อแม่สบายใจ ชื่นใจกับบุญที่ตัวเองไม่หลงทางไปในทางผิด และก็ชื่นใจกับลูกบางคนที่กำลังบวชให้กับพ่อแม่ตอนนี้ บางคนกำลังเลี้ยงดูพ่อแม่ตอนนี้ ขอให้คุณโยมเดินทางถูกแล้วประคองบุญไว้อย่าให้ตกหายคลายจากกุศลธรรม

                  แต่ถ้าเราทำตัวเสเพล สำมะเลเทเมา ดื่มเหล้าเมายา สูบยาฝิ่น กัญชา ทำร้ายตัวเองไม่รับผิดชอบครอบครัว นึกย้อนหลังแล้วมันมีแต่เรื่องแห้งใจ เศร้าใจ เสียใจ แต่ไม่สายเกินไปถ้าเราปรับตัวก่อนตาย ถ้าไม่ตายซะก่อนยังไม่สายเกินไป ยังแก้ไขสถานการณ์ทัน บางท่านบางคนตอนนี้กำลังทำให้พ่อแม่น้ำตาตกหลั่งไหลริน แต่พ่อแม่ก็ยังไม่สิ้นความรักลูก บางทีลูกมีเงินดื่มเหล้าเมายา ลูกมีเงินซื้อของต่างๆ กิน ของต่างๆ ใช้ ลูกมีเงินไปเที่ยวผู้หญิงตามบาร์ตามคลับ ซ่องโสเภณี แต่ไม่มีเงินให้คุณพ่อคุณแม่เลย น่าเศร้าใจไหม !

                การที่เราได้อัตภาพได้ร่างกายเป็นมนุษย์บุญนักหนา เราไม่ควรลืมบุญเก่า ไม่ควรทับถมตัวเอง ไม่ควรเหยียบย่ำตัวเอง ควรประคองบุญเก่า ให้บุญเก่าหนุนหลังให้มีบุญใหม่ยิ่งขึ้นไป
มีน้อยควรให้น้อย มีมากควรให้มาก

วันหนึ่งอาตมาได้มีโอกาสคุยกับโยมแท็กซี่ท่านหนึ่ง โยมแท็กซี่พ่อแม่อยู่ไหม ?... อยู่ครับ... อยู่ที่ไหน ?... อยู่ร้อยเอ็ดครับ... ส่งเงินให้ท่านบ้างหรือเปล่า เดือนละห้าร้อยก็ยังดี ?... ท่านครับ ผมต้องดูแลเมียต้องดูแลลูก แค่ใช้เองก็เกือบจะไม่พอแล้วครับ..... อืม !! ถ้าแม่พ่อคิดกับลูกอย่างนี้ตั้งแต่เด็กๆ ลูกคงไม่โตขนาดนี้แน่ๆ แต่แม่พ่อกลับคิดอีกอย่าง เรายังไม่ได้ทานไม่เป็นไร เพราะอดได้โตแล้ว ต้องให้ลูกทานก่อนกินก่อน ซื้อขนมอะไรมา มีของอะไรดีต้องแบ่งให้ลูกก่อน พอลูกได้กินอร่อยก็ชื่นใจอิ่มไปด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เคี้ยวสักคำ

มีน้อยควรให้น้อย มีมากควรให้มาก การที่จะไม่ให้พ่อแม่นั้นไม่ดีเลย พ่อแม่เป็นต้นทุนบุญกุศล เป็นต้นกำเนิดเกิดชีวิต และยิ่งให้สิ่งของแก่พ่อแม่ก็เหมือนบูชาพระอรหันต์ ก็ยิ่งเหมือนทำบุญกับพระอรหันตเจ้า เพราะท่านเป็น ทักขิเณยบุคคลเป็นบุคคลผู้ควรรับสิ่งของที่ลูกนำมาให้นำมาบูชา ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรืองไปในเบื้องหน้า ถ้าเรากตัญญูด้วยความบริสุทธิ์จริงๆ ทำบุญกับท่านอานิสงส์ไว

อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกบางครั้งก็ได้ บางครั้งก็ไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าท่านช่วยจริงไม่จริงก็ไม่รู้ เพราะว่ามองไม่เห็น แต่ก็บนบานศาลกล่าวกันไป แต่ถ้ามาบ่นต่อหน้าพ่อแม่ พ่อแม่มีแล้วยกให้หมด พ่อแม่จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดในโลก สาเหตุที่แม่พ่อเลี้ยงลูกหลายคนได้ แต่ลูกเลี้ยงแม่พ่อคนเดียวไม่ได้ ก็เพราะลูกห่างธรรมะ ห่างนักปราชญ์บัณฑิต ก็เลยไม่สะกิดใจให้รู้คุณ มีลูกเลี้ยงลูก มีเมียเลี้ยงเมีย มีเพื่อนเลี้ยงเพื่อน แต่ไม่เลี้ยงแม่ไม่เลี้ยงพ่อ เพราะคิดว่าถึงอย่างไรท่านคงจะหากินเองได้ ซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ
๑๒ เดือนมาเยี่ยมพ่อแม่ ๒ ครั้ง

อาตมาได้เข้าไปถามคุณตาท่านหนึ่ง คุณตามีลูกกี่คน ?... อ๋อ ! มีลูก ๗ คนครับ... แล้วลูกไปไหนกันหมด ?... โอ๊ย ! มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไปอยู่กรุงเทพฯ ก็มี ไปอยู่ในตัวเมืองก็มีครับ... เคยมาเยี่ยมบ้างไหม ?... ก็มาครับ สงกรานต์มาที ปีใหม่มาที..... โอ้โห !! คุณโยม ๑๒ เดือนมาเยี่ยมสองครั้ง ก็ยังดี ดีกว่าไม่มา ... แต่ถ้าไม่มาส่งเงินมาให้บ้างไหม ?... ก็ไม่ได้ส่งมาให้หรอกครับ ไม่เป็นไรหรอก โยมพอเดินได้ พอทำงานได้ก็รับจ้างเลี้ยงชีวิตไป ขอให้ลูกเขาปลอดภัยโชคดีเถอะครับ ผมพอช่วยตัวเองได้ อยู่กับยายสองคน รับจ้างกันไป ดูแลกันไป อือ ! พอป่วยทีไม่มีใครดูแล ก็โทรศัพท์บอกลูก ลูกก็มา เขามาไม่ได้เขาก็ส่งเงินมาครับ
เออ !! ก็ยังดีนะโยม แต่มันดีน้อยนะ มันควรจะได้บุญมากยิ่งกว่านี้ พ่อแม่เลี้ยงลูกวันละกี่ครั้ง เอาใจวันละกี่หน แต่ว่า ๑๒ เดือนหรือ ๑ ปี ลูกมาเอาใจแม่มาเอาใจพ่อ ๒ ครั้งเองนะ

ลูกบางคน ๕ ปี ยังไม่เคยไปเยี่ยมแม่เลย ไม่เคยส่งเงินให้แม่สักร้อยสองร้อยเลย แล้วชีวิตนี้จะรุ่งเรืองได้อย่างไร ? พ่อแม่เลี้ยงลูกหลายคนได้ แต่ลูกเลี้ยงพ่อแม่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่คบบัณฑิต เพราะทิ้งธรรมะหันหลังให้พระเสียแล้ว แต่ไปหันหน้าให้ดวงแก้ว แก้วเหล้า นึกถึงแม่ แม่คนเดียว แม่ไหน แม่โขงไปโน่น แล้วชีวิตนี้จะประเสริฐเป็นมงคลได้อย่างไร ? ยามประสพทุกข์อุปสรรคอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย แล้วใครจะช่วยเรา ขนาดพ่อแม่รักเราที่สุด เรายังไม่ดูแลท่าน แล้วจะให้คนอื่นๆ ที่ไหนเล่ามาดูแลท่านทั้งสอง ขอฝากไว้กับลูกผู้มีบุญที่มีลมหายใจอยู่ทุกท่านด้วย ณ โอกาสนี้

ดวงใจแม่

              โยมลูกชายท่านหนึ่งชื่อ ดวง เป็นลูกที่ดีของแม่มาตลอด แต่พอไปเรียนในตัวเมืองห่างเหินแม่ ก็เสียคน ติดเพื่อน ดื่มเหล้าเมายามอมแมม เล่นการพนัน ผลาญสมบัติแม่ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม่ทุกข์ลำบากเป็นคนจน ขายนาขายไร่เพื่อส่งลูกเรียน แต่กลับทำให้แม่เจ็บช้ำน้ำใจจนแม่ล้มป่วยลงแล้วก็สิ้นใจ เมื่อเจ้าดวงได้ยินข่าวกลับไปเห็นเท่านั้นแหละ จึงสำนึกได้ !! เพื่อนฝูงมีได้ง่ายขอให้มีเงิน พอหมดเงินเพื่อนก็เมิน หรือมีแต่เพื่อนจูงไปทำชั่วทำบาปลงนรกนั้นง่าย เมื่อแม่สิ้นแล้วไม่มีแม่คนที่สองอีก มารู้ซึ้งถึงคุณว่าท่านเป็นคนสำคัญก็ต่อเมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว

              ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้กล่าวตักเตือนก็ กระโชกโฮกฮากกับแม่ เพราะทำอย่างไรแม่ก็ไม่โกรธ ขออย่างไรแม่ก็ให้ แต่ส่วนลูกนั้นไม่ได้ทำอะไรให้ถูกต้องตามหน้าที่เลย จิตใจตอนที่มืดบอดนั้น ลืมจริงๆ ลืมความหวังดี ลืมความปรารถนาดีของแม่เสียจนหมดสิ้น หมดอย่างอื่น รถพัง จักรยานพัง บ้านพัง เราก็ใช้ความสามารถหาของใหม่มาทดแทนได้ แต่แม่นั้นมีเพียงคนเดียวหมดแล้วหมดเลย จะหาใครมาทดแทนได้

           พอแม่สิ้นชีวิตแล้วจึงสะอึก !! น้ำตาเจ้ากรรมลูกผู้ชายอกสามศอกจึงหลั่งไหลริน ว่าเราชั่วช้าเสียเหลือเกิน !! แม่คงเป็นทุกข์มาก ทุกข์จริงๆ นอนตายตาไม่หลับเป็นแน่ !!

                  นอกจากนี้แล้วแม่ยังเขียนตัวหนังสือติดไว้ที่หมอนที่ลูกเคยหนุนว่า......... “ดวงใจแม่” ......... ชั่วขณะตอนแม่นอน แม่กอดหมอนใบนั้น คือ แม่ยังนึกถึงลูกตลอด เมื่อไหร่ลูกจึงจะเป็นคนดี จนขาดใจตาย เจ้าดวงลูกชายเลยเลิกเรียนเมื่อแม่สิ้นใจ แล้วก็ไปขอบวชกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ทุกวันทุกคืนนึกแต่ขอโทษแม่ สวดมนต์ไหว้พระกรวดน้ำขอโทษแม่ เพราะน้ำตาแห่งความรู้ซึ้งถึงคุณ สำนึกในบุญคุณ เป็นเหตุกระตุ้นเตือนจิตตนเองให้ทำความดี
              นี้คือความจริง บาปเป็นตราประทับในใจไม่ลืมเลือน หมดแล้วหมดเลยหาคนอื่นมาแทนพ่อแม่ไม่ได้ หาเพื่อนหามิตรหาสหายหาง่าย แต่หามิตรแท้เหมือนแม่เรานั้นหายาก ท่านใดที่ยังมีแม่พ่อรักที่สุดอยู่ หากทำให้ท่านเสียใจแล้วบาปนั้นจะประทับอยู่ในดวงจิตนี้ ยากที่จะลืมเลือน มันจะเป็นหนามแหลมคอยทิ่มแทงดวงจิตให้เจ็บตลอด ว่าเราหนอเป็นลูกทรพี ! ว่าเราหนอเป็นลูกเนรคุณ ! ว่าเราหนอทำตัวเหมือนกับไม่ใช่ลูกแม่ซึ่งท่านรักเราที่สุด กลับทำแต่เรื่องร้ายๆ ร้อนๆ ให้ท่าน ! ตอนนี้ลูกบางคนชั่ว บางคนไม่ดีนั้น ไม่ใช่อะไร บางครั้งเค้าอยากทำดี อยากพูดดี อยากเป็นคนดี แต่สิ่งแวดล้อมเพื่อนฝูงจูงไปมากมาย เลยอดทนไม่ไหวต้องพลอยเป็นคนชั่วไปกับหมู่เพื่อนนั้น

สมเด็จโปรดคุณนาย

            คุณนายท่านหนึ่งเลี้ยงแม่ทิ้งๆ ขว้างๆ ตัวเองอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตรโหฐาน ส่วนแม่อยู่บ้านหลังสับปะรังเค แต่พอได้ สมเด็จโตท่านให้สติเตือนจิตสะกิดใจว่า

สมเด็จ :       โยมถวายอาหารพระทุกวันไหม ?

คุณนาย :      ถวายทุกวันเจ้าค่ะ

สมเด็จ : ... ไม่ ... อาตมาไม่ได้หมายถึง พระพุทธรูปแต่หมายถึง แม่น๊ะ โยมมีแม่ไหม ??

พอได้ยินอย่างนั้น คุณนายสะอึก !! พูดไม่ออก

สมเด็จ :    อาตมาได้ยินข่าวว่าโยมมีแม่ แต่โยมไม่ค่อยดูแลให้ดี ทิ้งขว้างท่านอยู่ตามลำพัง แต่โยมมาถวายอาหารให้อาตมาฉัน ซึ่งเป็นพระนอกบ้าน อาตมาหลงมานาน ถ้าอาตมาทราบตั้งแต่ตอนแรก อาตมาคงฉันข้าวโยมไม่ลงเพราะอาตมาเอาเปรียบพระในบ้านมากเหลือเกิน ถ้าโยมไม่มาถวายอาหารให้อาตมา คนอื่นก็ยังมาถวาย......... แต่แม่นั้นถ้าโยมผู้เป็นลูกไม่ให้ แล้วใครเล่าจักให้ ผู้เป็นลูกที่แม่ดูแลเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เด็กเล็กจนเติบใหญ่ เราได้นอนอยู่ในท้องแม่เก้าเดือน แม่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ปานนั้น เมื่อลูกไม่ดูแลแม่ แล้วใครเล่าในโลกนี้เขาจะมาดูแลแม่เรา

               คุณนายกราบไม่ถึงสามทีเหมือนทุกครั้ง กราบทีหนึ่ง แล้วลากลับบ้านเลย ต่อมาไม่เคยเห็นมาหาเจ้าประคุณสมเด็จอีก จนกระทั่งเจ้าประคุณสมเด็จมรณภาพไป
               แต่แม้นจะไม่ได้กลับมาถวายอาหาร แม้นไม่ได้กลับมาที่วัดที่สมเด็จอยู่ ก็มีคนข้างบ้านมาบอกให้หลวงพ่อสมเด็จได้ทราบว่า คุณนายได้รับแม่มาเลี้ยงดูในบ้านอย่างสุขสบายแล้ว เท่านี้เองสมเด็จท่านก็ชื่นใจ.....สาธุ.....

               อาตมาได้ยินข่าวอย่างนี้ก็ชื่นใจ ดีนะที่สมเด็จท่านรู้จักให้ธรรมทาน แนะนำกล่าวในสิ่งที่ควรกล่าว ถ้าเกิดท่านเห็นแก่หน้า ถ้าเกิดท่านพูดไปกลัวโยมจะไม่มาอุปัฏฐาก พูดไปแล้วกลัวโยมจะโกรธเคือง ไม่มาจังหัน ไม่มาถวายอาหาร ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอก ไม่กล้าแนะนำ ถ้าท่านคิดอย่างนั้น โยมคุณนายก็คงไม่ได้สร้างความดีอันยิ่งใหญ่ให้กับตนเองเลย ก็คงจะทิ้งขว้างแม่อย่างนี้ต่อไป แต่บังเอิญเดชะพระบารมี หลวงพ่อสมเด็จท่านไม่เห็นแก่อามิส ไม่เห็นแก่ลาภสักการะ แต่ท่านมุ่งที่จะให้คุณธรรมเกิดขึ้นแก่โยม จะได้ทำดีไม่ผิดทาง ตนเองก็จะได้ไม่ถูกนักปราชญ์ติเตียนว่าเป็นคนเนรคุณ ชีวิตก็จะเจริญไปในเบื้องหน้า นี่อาตมาก็อนุโมทนากับคุณนายคนนั้นด้วยที่เลี้ยงแม่อย่างดีนะ


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก   http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4464


 ภาพจาก การประกวดหัวข้อ "ความรักและความผูกพันของคุณแม่" ภาพชื่อ "สายใยแห่งรัก" ของหรรษา ตั้งมั่นภูวดล ได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นภาพแม่ป้อนข้าวลูกสาวที่พิการอยู่บนพื้นภายในบ้านหลังเล็ก


ภาพจาก การประกวดหัวข้อ พระคุณของคุณพ่อ" ภาพ"อุ่นใจ" ของ น.ส.พิชชาพร พฤกษ์รัสมีพงศ์ ได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นภาพลูกสาวใส่ชุดนักเรียนหลับอยู่ในอ้อมกอดของคุณพ่ออย่างอบอุ่น