วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

คำสอนหลวงปู่ดู่




๑. หลวงปู่กล่าวรับรองว่าบทสวดมนต์แต่ละบท ๆ ในเจ็ดตำนานก็ดี ๑๒ ตำนานก็ดี ท่านว่าท่านเคยได้พิจารณาโดยตลอดแล้ว พบว่าดีทั้งนั้น ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทุก ๆ บทเลยทีเดียว

๒. บทไตรสรณาคมน์นั้น (พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) ท่านว่า “สวดครั้งหนึ่ง (ด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาและเป็นสมาธิ) มีอานิสงส์ไปถึง ๕ กัลป์เชียว”

๓. สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าตนประสบเคราะห์นั้นท่านแนะให้สวดอิติปิโสฯ (บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เท่าอายุบวกหนึ่ง

๔. บางครั้ง ผู้ที่เขามาคอยรับส่วนบุญ เขามีเวลาน้อย (อาจขออนุญาตผู้คุมมาได้เดี๋ยวเดียว) หรืออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีเวลาน้อย หรือจะด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี หลวงปู่จึงได้มีบทแผ่เมตตาชนิดสั้นแต่มีประสิทธิผลมากคือ “พุทธัง อนันตังฯ”) แทนบทกรวดน้ำ ซึ่งค่อนข้างยาวและกินเวลามากและเหมาะกับการแผ่เมตตาประจำวันหลังสวดมนต์ทำวัตรมากกว่า

๕. บทบูชาพระ (นะโมพุทธายะฯ) หลวงปู่บอกว่า “สวดแล้วรับรองว่าไม่มีจน” ท่านเอามาจากวัดประดู่ทรงธรรม สมัยที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นั่น และเพื่อให้ลูกศิษย์ไม่มองข้ามความสำคัญ เพราะเหตุที่ได้มาจากหลวงปู่ง่าย ๆ ท่านจึงพุดแบบอมยิ้มไปด้วยว่า “คาถาดี ๆ นี่ อาจารย์สมัยก่อนเขาหวงกันนะ เขาไม่เอามาบอกง่าย ๆ หรอกแก”

๖. จุดสำคัญในเวลาสวดมนต์หรืออธิษฐานคาถาใด ๆ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิ ให้จิตสว่าง ให้จิตมีภาวะตื่น จึงจะมีผลมาก และถือเป็นสร้างความชำนาญในการทำกรรมฐานไปด้วยทุกครั้ง (สำหรับบทสวดมนต์ (ไม่ใช่คาถา) นั้น ถ้ามีโอกาสก็ควรศึกษาคำแปลเพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อธรรมและซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัยยิ่ง ๆ ขึ้นไป)

๗. สุดท้าย หลวงปู่บอกว่า “สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน” สวดมนต์นานเท่าไรไม่ว่า แต่ภาวนาให้มากกว่าจึงจะถือว่าได้จัดสรรเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด



ขอขอบคุณ http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,117.0.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น